Thursday, December 21, 2006

we're gonna dance all night !





Kappa Mikey's Christmas episode aired last week. So I decide to put a little spin on the characters I animated for the show. Hope you guys enjoy it.

Merry Christmas!

*All rights of characters and animation belong to Animation Collective, New York, NY*

Sunday, December 17, 2006

ส่งความสุข :D



ชื่อภาพ Special Delivery
ขนาด 8 x 10 นิ้ว รวมกรอบ 14 x 18 นิ้ว
Digital Medium

ภาพนี้ได้เเรงบันดาลใจมาจากคําว่า "ส.ค.ส.- ส่งความสุข" หรือการ์ดปีใหม่ของไทยเรา
ส่งความสุขก็มีความหมายได้หลายทาง ทั้งส่งของขวัญ ส่งกําลังใจ
เรามีภาพนี้ติดค้างอยู่ในหัวนานมาเเล้ว ส่วนใหญ่มักจะผุดขึ้นมาระหว่างการเดินไปทํางานตอนเช้าๆ เพราะเราชอบไปสงสัยว่า เเต่ละคนที่เดินรีบๆ ก้าวยาวๆ เค้าคิดอะไรกันอยู่

เราไม่ใช่คนเดินช้า เเต่เดี๋ยวนี้เราพยายามเดินให้มีสติมากขึ้น
จะได้ไม่มัวเเต่คิดจะเดินไปหาความสุข เราอยากให้ความสุขเดินทางไปพร้อมๆกับเรา


---
ภาพนี้จัดเเสดงเมื่ออาทิตย์ที่เเล้ว ที่ Animation Collective Holiday Gallery
เป็นงานเเสดงภาพเขียนของพนักงาน พร้อมๆกับงานปาร์ตี้สิ้นปี
เป็นอันว่าเดินดูงานใน gallery เสร็จเเล้ว ก็ไปเมาไวน์ต่อได้เลย

Wednesday, November 29, 2006

วิล สมิธ กับเรื่องหนังใหม่ I Am Legend โย่ !



บ่ายวันอาทิตย์ เราเดินเตร็ดเตร่ อยู่บนถนน หก อเวนิว ตัดกับช่วงถนนหมายเลขสี่สิบปลายๆ
ตั้งใจว่าจะเดินเล่นไปจนถึง Rockerfeller Center ไปดูคนเบียดเสียดเเย่งกันเล่นสเก็ตน้ำเเข็งในอ่าง(ลาน)เล็กๆหน้าตึก
ปรากฎว่า คนน้อยมาก ผิดวิสัย

เมื่อหันไปทางถนนถัดไป ถนนหมายเลขห้า อเวนิว
เเสงไฟสีขาวดวงเท่าบ้านเเยงเข้าตา จนเลนส์เเว่นตาเราเปลี่ยนเป็นสีของเเว่นกันเเดด เเล้วอยู่ดีๆใจก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด
(ใครเคยตกหมึก คงจะเข้าใจในธรรมชาติของเเสงไฟสีขาวว่า มีอานุภาพดึงดูดทั้งใจคน ใจหมึก)

โฮะโฮะ.. มันต้องมีงานอะไร ซักอย่างเเน่ๆ

เราเดินตามคนกลุ่มใหญ่ ไปหยุดอยู่หน้าโบสถ์ St.Patrick Cathedral
ถนนโล่ง เเต่ดูเละๆ เหมือนระเบิดเพิ่งลงไปหมาดๆ กอหญ้าปลอมกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น
มองไปรอบๆ เห็นรอยกระสุน(ปลอม)อยู่ประปราย บนกระจกหน้าร้านเสื้อผ้าเเพงๆ ..รถเเท๊กซี่เปื้อนโคลน... รถเมล์โทรมๆ

อ้า .. อย่างนี้ ถ่ายหนังชัวร์

กลุ่ม PA(พนักงานจับฉ่ายในกองถ่าย)ผู้ชายกล้ามล่ำมากๆ สองสามคน เดินมาต้อนกลุ่มฝรั่งมุงให้กลับไปยืนอยู่บนฟุตบาท
ต้อนไปต้อนมา ข้าพเจ้าใช้วิชาตัวเเบน หลุดออกมายืนริมถนนได้พอดี (ฝึกมานาน สมัยเป็นไทยมุงอาชีพ)

ไม่กี่นาทีถัดมา ผู้กํากับสั่งเดินกล้อง
ฝรั่งมุงสองฟากถนนที่คุยกันจอเเจเมื่อครู่ พากันปิดปากเงียบกริบ
ไทยมุงอย่างเรา เเอบกลั้นหายใจ ตื่นเต้นไปกับเค้าด้วย


เเถ่น เเทน เเท้นนนนน

Tuesday, October 17, 2006

Life Drawing - ภาพโป๊ !






ฮ่าฮ่า
โป๊มั้ยเพ่
...

เดี๋ยวนี้ ทุกวันพุธ เรามีนัดไปวาดรูปที่ School of Visual Arts บนถนนหมายเลข 23
โครงการวาดรูปเร็ว (quick sketch เเต่ละภาพ นางเเบบ นายเเบบ จะโพสประมาณ1-3 นาที) จัดขึ้นโดยกลุ่ม ASIFA
ชื่อเต็มๆว่า Association International du Film d'Animation เพื่อให้อนิเมเตอร์ ทั้งมืออาชีพ เเละนักศึกษา ได้มาวาดรูปเร็วๆ พร้อมๆกันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

Tuesday, September 26, 2006

heyx2 lookx2 ---- it's kappa mikey!



Kappa Mikey การ์ตูนที่เราทําอยู่ ออกฉายใน ช่อง nickelodeon มาได้พักนึงเเล้ว
ที่ไม่ได้เขียนถึงเพราะว่า กําลังรอให้ ตอนที่ข้าพเจ้า ได้เเหยมมือเข้าไปทํา ออกมาฉายซะก่อน
เเต่สรุปว่า มันไม่ฉายเรียงตอน (0-0)'...วะ ปล่อยให้รอ

ถ้าใครได้ดูทีวีที่อเมริกา รายการนี้ฉายวันอาทิตย์ สิบเอ็ดโมงเช้า (eastern time)
ส่วนทางเอเชีย ยังไม่ทราบตารางเวลาเเน่นอน (รู้สึกว่าเวอร์ชั่นทางญี่ปุ่น กําลังพากษ์เสียงอยู่)
ใครผ่านมาที่บล็อค เเล้วดันอยู่ที่อเมริกาใต้ หรือ ออสเตรเลีย ติดต่อหลังไมค์
ตอนพี่ที่ทํางานเค้าบอกช่วงเวลามา ไม่ได้สนใจฟัง (ก็ไม่รู้จักใครในบราซิลนี่นา)

การ์ตูนเรื่องนี้ เป็นการ์ตูนกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ จัดว่าเป็นเเนวซิท-คอม
คือเนื้อเรื่องไม่ได้ดําเนินไปจาก 1 ถึง 10 เเต่จะเน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร(บ๊องๆ)กลุ่มนึง

เนื้อเรื่องคร่าวๆ Mikey Simon นักเเสดงจากาสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ชนะเลิศจากการชิงโชคสุ่มหานักเเสดงดาวรุ่งคนใหม่ในญี่ปุ่น
mikey ถูกเชิญมาเเสดงเป็นตัวเอกร่วมกับ ทีมนักเเสดงอีก 4 คน ในคณะละคร lilymu ซึ่งเป็นโชว์เเอคชั่นกู้โลก
ปัญหาอยู่ที่ว่า ทุกคน ยกเว้นคุณ โอสุ เจ้าของคณะ lilymu เป็นพวกติงต๊อง บ้องเเบ๊ว สไตล์ อนิเม
เรื่องราวประหลาดๆ บ้าๆบอๆ ก็เลยเกิดขึ้นให้คุณโอสุวุ่นวายใจอยู่เรื่อยๆ

วันหลังจะมาเล่าให้ฟังละกัน ว่าการ์ตูนทีวีตอนหนึ่ง เสียเลือดเนื้อ อนิเมเตอร์ ไปกี่คน

รูปประกอบ : pin เเจกฟรี ตอนที่โชว์นี้ ได้ลิขสิทธ์ฉายเพิ่ม จากช่อง nicktoons มาออกอากาศช่อง nickelodeon

Monday, September 25, 2006

animus อบอุ่นในความเเปลกเเยก



1.ตอนเช้า

นั่งรถไฟใต้ดินไปทํางาน
วันนี้โชคดีเจอที่นั่งว่างข้างๆ ผู้หญิงคนนึง
นั่งได้สามนาที พอได้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อจากเมื่อวาน
ผู้หญิงหน้าตาเรียบร้อยข้างๆ ก็หยิบไอพอด นาโน ขึ้นมาเปิดเร่งเสียง
เฮ่อ หน้าตาดู mtv'06 เเต่ฟังเพลงยุค '80s
เรื่องสั้นของมุราคามิ เกี่ยวกับการล่มสลายของอาณาจักรโรมันในจินตนาการ ก็มีเพลงประกอบ เป็นทํานอง
ตึก-ฉัก-ตึก-ฉัก-ตึก (นึกเสียง synthesizer ประกอบเอาเองละกัน)


2.หลังเลิกงาน

เดินไปสถานีรถไฟใต้ดินบนถนนหมายเลข 41
เนื่องจากเห็นคนบนดิน เดินหนาเเน่นผิดวิสัย
เรามันคนใจง่าย จึงเดินเรื่อยเปื่อยเลยสถานี ไปหยุดอยู่ในใจกลาง(ค่อนไปทางริมถนน)ของย่านTimes Square
วันนี้ MetOpera จัด ฉาย madame butterfly ในจอทีวียักษ์ 3-4 จอ
๖จอโฆษณาเเบบที่ฉายโค้งเเนบไปกับตัวตึก มีหน้าต่างเป็นช่องๆ ก็ยังอุตส่าห์ฉาย)
ให้คนเดินถนนมานั่ง/ยืน ชมกันตามอัธยาศัย

ชีวิตนี้ไม่เคยมีความพยายามพอที่จะไปดู opera
เเต่มั่นใจว่า เสียตังค์ไปดูoperaในโรงละคร น่าจะได้อรรถรสมากกว่ายืน ฟังไป อ่าน subtitleไป เเละดมกลิ่น ไก่ย่างข้างๆถนนไป เเน่ๆ

3.Virgin Megastore

บอกตัวเองมาหลายครั้งว่า ควรจะรู้จักรอ
เเละไม่ซื้อหนังสือจากร้านซีดีสามชั้นครบวงจร ร้านนี้อีกต่อไป
เพราะถ้าจะซื้อหนังสือ ก็ควรจะอุดหนุนร้านที่รักจะขายหนังสือ

เเต่ก็อดใจไม่ไหว เเวะไปเดินโฉบในเเผนกหนังสือมาหนึ่งรอบ
เราเป็นโรคเเพ้หนังสือปกสวย ไม่ได้เเพ้ในเเง่ที่ว่า เจอเเล้วซื้อเลย
เเต่เจอเเล้วจะหยิบขึ้นมาจับ พลิกไปพลิกมา เเล้วก็สรรเสริญคนออกเเบบปก พอเป็นพิธี

หนังสือสวยประจําวันนี้
นอกจากหน้าปกสวย ข้างในยังสวยกว่า
หนังสือชื่อว่า Animus จัดอยู่ในหมวดหนังสือภาพสําหรับเด็ก
เนื้อเรื่องสรุปสั้นๆว่า

เด็กหญิงพยายามทําความเข้าใจกับความดุร้ายของหมาเกเรตัวใหญ่
ท้ายที่สุด ก็พบว่า ความงดงามของชีวิต ดํารงอยู่ระหว่างสีขาวกับสีดํา
บางครั้งคนเราก็หลีกเลี่ยงความเเตกต่างไม่ได้ไปซะทุกเรื่อง

ในเล่มมี pop up ทําไว้อย่างประณีต สวยงาม
ตอนเราเด็กๆ เราไม่ค่อยมีหนังสือนิทานpop upให้อ่าน
เห็นเเต่ตามรายการเจ้าขุนทอง ที่เค้าเอามาอ่านออกอากาศ
เห็นเเล้วนึกอิจฉาเด็กๆเดี๋ยวนี้

รูปประกอบ : Seonna Hong
Hong เป็น อนิเมเตอร์ ที่ขยันผลิตผลงานในฐานะศิลปินอิสระ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
เธอได้รับรางวัล Emmy Award จาก อนิเมชั่น ซีรี่ยส์ เรื่อง Powerpuff Girls, เเละ My Life as A Teenage Robot

* ขออภัยหาก การเขียนชื่อเฉพาะในภาษาอังกฤษบางคํา เราเผลอใช้ตัวอักษรเล็ก เป็นนิสัยไม่ดี ที่เเก้ยากจริงๆ *

Saturday, September 23, 2006

ด้วยความระลึกถึง..


ด้วยความระลึกถึงประเทศไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีทักษิณเป็นที่ตั้ง

ว่าจะโพสรูปตอนไปเที่ยวเมืองไทยมาพักใหญ่ๆ (ตั้งเเต่เดือนเมษา ... พักใหญ่มาก)
ก็ได้เเต่ผลัดวันประกันพรุ่ง จนตอนนี้นายกโดนเด้งไปเที่ยวอังกฤษเเบบถาวรเเล้ว
วันนี้จึงได้ฤกษ์จัดเเสดงภาพถ่าย

ไม่นึกเลย ว่าชีวิตคนคนหนึ่ง จะได้มีโอกาสอยู่ดูการปฎิวัติมาถึงสองครั้งในประเทศเดียว

*
*

*








all photographs are copyrighted by fawn veerasunthorn, except for the ones indicated by "*" are taken by ryan green at bluefootstudios.com

Thursday, August 03, 2006

heat wave attack

เมื่อวานเป็นวันที่ร้อนที่สุดของปี
ขนาดเราคิดว่า
เราเป็นคนมีความต้านทานความร้อนพอใช้ได้เเล้วนะ
ยังเหงื่อตก ก้นเปียกเลย (...เวลานั่งทํางานไง)

เมืองเราโดน Heat Wave พัดผ่าน
ความร้อนมีเเต่เข้า ไม่มีออก
ยิ่งซอกระหว่างตึกสูงๆนี่ ระอุมากๆ

นอกจากร้อนโคตรๆเเล้ว
ยังทําให้การจ่ายกระเเสไฟฟ้าขัดข้องไปอีกด้วย
300 ครัวเรือนในเขต Queens
ไม่มีไฟฟ้าใช้มาเกือบ2อาทิตย์เเล้ว (ผอ.การไฟฟ้าที่นี่
เกือบถูกไล่ออกเเน่ะ)
ลิฟท์ที่บ้านเราหยุดทํางาน เพราะอากาศร้อนเกินไป
(ใครช่วยอธิบายทีดิ ว่ามันเกี่ยวกันยังไง)

อาทิตย์ที่เเล้ว
นึกว่าดําเนินชีวิตอยู่ในประเทศโลกที่สี่
(ด้อยพัฒนากว่าโลกที่สาม) คืนนึงรถไฟใต้ดิน
ไฟฟ้าไม่พอใช้ มันก็เลยวิ่งเเบบ อิดๆออดๆ
คนรอขึ้นรถไฟต้องต่อคิวยาวออกมาบนดินเเน่ะ
ร้านขายของบางร้านก็ไม่ขายเครื่องดื่ม
เพราะตู้เย็นเดินเครื่องไม่ได้



สงสัยต้องส่งการไฟฟ้าที่นี่ ไปฝึกงานที่เมืองไทย

Saturday, July 15, 2006

วันเสาร์ อาหารเกาหลี เเละหญิงขาใหญ่



วันเสาร์ ฟีบีมีนัดมาทําผมที่ Flushing เราจึงวางเเผนกันว่า จะไปกินอาหารเกาหลีเเบบดั้งเดิมเเถวๆนั้น
ฟีบีประกาศว่า อาหารเกาหลีที่นี่ ของเเท้เเน่นอน กินเเล้วประมาณว่า ลืมเนื้อย่างเจ้าอื่นๆไปได้เลย

หลังจากกินกันอิ่มเเล้ว
เราพบว่า

1. อาหารต่างชาติ เมื่อไปกินกับคนประจําชาตินั้น จะเกิดความรู้สึกว่า "โอ นี่เเหละ อาหารของเค้าเเท้ๆ"
ทั้งๆที่ เราเองก็ไม่มีความรู้พอจะตัดสินว่า อะไรทําให้อาหารauthentic เเตกต่างจากอาหารเลียนเเบบ รู้เเต่ว่า อร่อย/ไม่อร่อย

2. เมื่อคําเเรกของเนื้อย่างร้านใหม่เข้าปาก เราก็ลืมไปเเล้วว่า เนื้อย่างเจ้าอื่นๆมันรสชาติ เป็นอย่างไร
จึงได้เเต่อือออ ไปว่า "โห สุดยอดจริงๆ"

ดังนั้นเราจึงไม่เคยเเนะนําร้านอาหารให้ใคร (มีคนถามเยอะพอสมควรว่า ร้านอาหารไทยอร่อยๆอยู่ที่ไหน)
บอกได้เเค่ว่า ที่ไปกินวันนั้น ที่ร้านนี้ อาหาร อร่อยดี
เเต่ถ้าไปลอง เเล้วมันห่วย ก็ช่วยไม่ได้


---------------

ระหว่างนั่งรถไฟกลับบ้าน
บังเอิญนั่งติดกับครอบครัวหน้าตาละติน ครอบครัวหนึ่ง
มันเป็นที่นั่งสองที่ เรานั่งชิดหน้าต่าง อ่านหนังสือ the curious incident of the dog in the night-time
หน้าปกสีเเดง ตรงกลาง เจาะรูเล็กๆ เป็นรูปร่างหมาพูดเดิ้ลสีดํา นอนหงายท้อง

ข้างๆเราเป็นเด็กหนึ่งในสามพี่น้อง อายุประมาณ 8 ขวบ (เรามักกะอายุเด็กผิด)
น้องผู้ชายอายุ8ขวบ นั่งเล่นตุ๊กตาผ้า หน้าตาคล้ายกัปตันเเจ็ค สเเปโรล ตุ๊กตาห่อถุงพลาสติกเเปะยี่ห้อ เเมคโดเเนล
เราว่าน่าสนใจดี ที่เด็กจะนั่งบีบจับตุ๊กตา โดยไม่เเกะห่อพลาสติกออก
อาจจะเป็นการละเล่นที่ใช้จินตนาการสูงกว่า การได้จับต้องเนื้อผ้าจริงๆ
หรือไม่ก็ น้องมี phobia กลัวเชื้อโรค...เเต่ถุงก็น่าจะสกปรกพอกัน
เราก็เลยเเอบชําเลืองมองน้อง จนน้องรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นมามอง (คนเรามักมีความรู้สึกไว ว่ามีคนอื่นมองอยู่)
เรายิ้มมุมปาก น้องเลยเฉไฉไปมองหน้าปกหนังสือสีเเดงเเทน

เเค่นั้น เราเเลกเปลี่ยนความสนใจกันสั้นๆ
ก่อนต่างคน จะหันกลับไปทําสิ่งที่ทําค้างไว้
น้องกลับไปบี้ถุงพลาสติก เราหันกลับไปอ่านหนังสือต่อ


---------------

ร.บอกว่า เราชอบวาด ผู้หญิงขาสั้นๆ ใหญ่ๆ
เราว่า ทําไม เราชอบให้ผู้หญิงดูเเข็งเเรง บึกบึน
มีปัญหามั้ย
:D

Monday, June 26, 2006

วาดเรื่อยเปื่อย 1



กะเวลารถไฟผิดไปนิด เลย มาถึงที่ทํางานตั้งเเต่ไก่ยังไม่โห่
ไม่มีอะไรทําก็เลยวาดรูปเล่น รอผู้ช่วย ผกก.เสด็จมาเเจกงาน

Sunday, June 25, 2006

Bodies, the exhibition.


อาทิตย์ที่เเล้ว เราไปดูนิทรรศการชื่อ bodies มาที่ South Stree Seaport Museum บนถนน Fulton
อ่านจากใบปิดคร่าวๆ เป็นการจัดเเสดง ร่างกายมนุษย์ในอิริยาบทต่างๆ
พอเห็นภาพโฆษณาเป็นหัวใจสดๆ เลยเกิดอาการซีอุยอยากดู

เหตุผลจริงๆคือ งานที่เราทํา (อนิเมชั่น)
มันจําเป็นต้องรู้กล้ามเนื้อส่วนนอก (ที่มองเห็นได้)
เวลาวาดจะได้ไม่ดูตลกๆ เหมือนยัดนุ่นไว้ในน่อง

เลยไปดู เผื่อ อะไรที่ลืมๆไปเเล้ว จะได้ refreshตัวเองขึ้นมาบ้าง

ตอนเดินเข้าไปห้องเเรก มันก็มีเเต่ อวัยวะ กับกระดูก
วางโชว์ไว้ กับคําบรรยายเกี่ยวกับ ระบบหายใจ
ระบบย่อยอาหาร ระบบนู้นระบบนี้
ทําให้เรานึกถึงพิพิธภัณฑ์ที่ศิริราช
ก็หงุดหงิดเล็กน้อย เพราะของเเบบนี้ดูมาเเล้ว
ทําไมตูต้องจ่ายเงิน 25 เหรียญด้วย(วะ)

เเต่พอเราเดินข้ามมาอีกห้อง มันหลอนมากๆ
ทั้งห้องมีเเต่ร่างกายมนุษย์ ยืน เดิน นั่ง กระโดด
ทําทุกอย่างเเบบมนุษย์ปกติ
เพียงเเค่ไม่มีผิวหนังหุ้มร่างกายไว้
เหมือนกับใครซักคนเดินผ่าน รังสีอะไรซักอย่าง
เเล้วถูกสต๊าฟ ไว้เเบบเฉียบพลัน
(นึกถึงที่เคยอ่านกรณี ภูเขาไฟระเบิดปอมเปอี ลาวาร้อนๆไหลลงมาเร็วมากๆ
คนที่กําลังวิ่งหนี ถูกลวกทั้งเป็น ตัวเเข็งอยู่ในท่าวิ่ง...อี๋)

เราก็เเบบ โห ของปลอมเเหงๆ

เเต่พอ ไปเปรียบเทียบเส้นประสาท ที่โผล่มาจากส่วนกระดูกสันหลัง
ของหุ่นหนึ่ง กับหุ่นสอง
มันไม่เหมือนกันเป๊ะๆ เเบบที่เเน่ใจได้ว่าไม่ได้ออกมาจาก เเท่นพิมพ์เดียวกัน
เเล้วเราก็เหงื่อตก..ของจริงนี่หว่า

เราไม่ได้เรียนที่รามานานพอจะ dissectร่างกายมนุษย์ทั้งหมด
เเต่ที่เราได้มีโอกาสได้ทําคือ ส่วนหลัง ตรงกระดูกสันหลัง (ช่วงก่อนลาออกพอดีไง)
dissect เป็นงานที่ยากโคตรๆ ในความเห็นเรานะ
ตอนเพื่อนๆเรามันทําน่ะ เละเทะ จะตาย เส้นนู้นขาด เส้นนี้หาไม่เจอ

ทําออกมาสวยๆเหมือนงานนี้ มันออกจะเกือบเป็นไปไม่ได้

ขอเเปลกระบวนการเตรียมงานจากเว็บไซต์ www.bodiestheexhibition.com
มาดังนี้

ขั้นเเรก หลังจากร่างกายผ่านกระบวนการตามมาตรฐาน(สําหรับผู้ตาย)ของโรงพยาบาลเเล้ว
ทีมเเพทย์ทําการชําเเหละเพื่อเเสดงส่วนกล้ามเนื้อ เส้นประสาท (ตามเเต่ ช่วงเนื้อหาของนิทรรศการ)
จากนั้นจึงเเช่ร่างกายใน อะซีโทน เพื่อ กําจัดน้ำในร่างกายออก
เเล้วจึงนําร่างกายมาเเช่ใน อ่างซีลิโคน หรือโพลีเมอร์ เพื่อปิดทางเดินอากาศต่างๆ
ขั้นสุดท้ายคือการลง เเคตาลีสต์ เพื่อทําให้อวัยวะ เเละ พื้นผิวเเข็งตัว

สรุปว่า...ของจริง

งานนี้มีเด็กๆ มาดูเยอะเหมือนกัน
ดูท่าทางก็ไม่มีใครหวาดกลัว ร้องไห้อะไร
พ่อเเม่ที่พาลูกมา ก็ชี้ นี่ไง เด็กทารกที่เกิดนอกมดลูก
เราก็ เหวอ
จะเทรนลูกเป็นหมอตั้งเเต่ยังอ้อนยังออดเลยเรอะ
(เด็กมันดูไม่น่าจะเกิน 8 ขวบไปได้)

มีอีกอย่างที่เจ๋งดี มันเป็นการเเสดงระบบไหลเวียนโลหิต
เค้าฉีดสารเคมีเข้าไปในเส้นเลือด
ที่ทําให้เส้นเลือดเเข็งตัวเเบบเฉียบพลัน (ประมาณนั้น)
เเล้วก็เลาะเอาอวัยวะออก (ไม่รู้ทําไง)
เหลือเเต่เส้นเลือด
เราเห็นเส้นด้ายยุ่งๆ พันกันไปพันกันมา
ดูเป็นรูปร่างมนุษย์
อ่านป้ายบรรยาย ก็เขียนไว้ว่า ... มนุษย์

ตอนเดินออกมีป้ายสรุปเกี่ยวกับงานนี้
เค้าบอกว่า
คนทั่วไป ไม่ค่อยสนใจจะรู้ว่าร่างกายทํางานอย่างไร
เมื่อไม่รู้ ก็ไม่รักษา
นิทรรศการนี้จัดขึ้นเพื่อให้บุคคลทั่วไป
รู้จัก เเละ รักร่างกายของตนเอง

จะได้ไม่กินเเต่ฟาสต์ฟูด เเล้วนั่งดูทีวีจนตูดเผละ
เพราะตูดเผละเเล้ว ศพไม่สวยนะจ๊ะ
(อันนี้เพิ่มเอง)

Wednesday, May 31, 2006

31-05-82

ยังมีชีวิตอยู่

จนถึงวันนี้ ก็มีชีวิตมาได้ 24ปีเเล้ว
ซึ้งพระคุณเเม่..

ที่หายๆไปเพราะว่า
..อะเเฮ่ม..
จะย้ายไปนิวยอร์คซิตี้ศุกร์นี้เเล้ว!
มีเวลาย้ายอาทิตย์เดียว โดยที่ยังต้องทํางานที่เดิมไปจนถึงพรุ่งนี้

อิฉันก็เหนื่อยเป็นนะคะ
ว่าเเล้วก็ไปเก็บของต่อ
ไม่รู้ว่า มาพล่ามอะไรเรื่อยเปื่อยเเถวนี้

HBD-to me :D

Sunday, May 07, 2006

Tokyo 101--II

(ต่อจากวานโน้น)



ช้ำใจจากการโดนหลอกไปกินร้านซูชิทัวร์ลง เมื่อตอนเช้า
เราก็เกิดอาการอยากไปกินอะไร ที่ชาวบ้านร้านตลาดเเท้ๆ(ตลาดญี่ปุ่น)เค้ากินกัน
เดินวนไปวนมาใน อาซากุสะ ซักพัก เจอร้านใต้ดินโดนใจร้านนึง

ที่ว่าโดนใจ คือ ไม่มีอะไรเป็นภาษาที่เราเข้าใจได้เลย
เเม้เเต่ราคาก็เป็นตัวหนังสือญี่ปุ่น!
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆเดินผ่านมา เเล้วก็โดนดูดกลืนไปในร้านละเเวกใกล้เคียง ที่มีป้ายเป็นภาษาอังกฤษ
เราเเอบหวั่นใจ ถ้าไอ้ราคายึกยือนั่นเเปลว่า หมื่นกว่าเยน
ไปล้างจานสองวันจะพอค่าอาหารมั้ย



เดินเข้าร้าน ถอดรองเท้าใส่ชั้นไม้ ข้างๆโถงทางเดิน
มองซ้ายมองขวา ไม่มีลูกค้า...
คุณพี่เสื้อขาวโฉบเข้ามาจากมุมฉากไม้ มาต้อนรับเป็นภาษาญี่ปุ่นยาวๆ (อีกเเล้ว)
เราก็พูดภาษาอังกฤษสั้นๆตอบไปว่า "ขอเมนูจ้ะพี่"
หลังจากนั้นก็เป็นการถามตอบ ภาษาญี่ปุ่น-อังกฤษ พักใหญ่
คิดว่าถ้าพูดไทยไป ก็คงมีผลเท่ากัน
คือไม่ได้เนื้อความอะไร กันทั้งคู่
คุณพี่กู้สถานการณ์ด้วยการ ยกถาดชา มาให้ กันเราลุกหนี

"ที่นี่ไม่ดื่มน้ำเปล่ากันเนอะ" -- เราบอกร.
เนี่ยตั้งเเต่มาดื่มเเต่ชา ชาร้อน ชาเย็น ชาเขียว
เเต่ก็เเปลก ไม่ได้รู้สึกอยากน้ำเปล่า หรือโค้ก
มันเป็นไปตามธรรมชาติ มีน้ำชา ก็ดื่มน้ำชา

ระหว่างปรึกษากันว่าจะจิ้มเมนูเอาดีมั้ย เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง
คุณพี่คนเดิม เเบกเมนูใหม่เข้ามาพอดี
ที่บอกว่า เเบก เพราะมันคือป้ายใหญ่ขนาดเท่าป้ายหน้าร้าน




"โหย เมนูจริงใจมากๆเลยพี่" เราเอ่ยปากชม
จากภาษาใบ้ นี่คือเมนูที่มีภาพประกอบ ฉบับเดียวในร้าน
จิ้มสั่งอาหารได้ด้วยความมั่นใจที่สูงขึ้น ห้าสิบเปอร์เซ็นต์
คิดว่าถ้าต้องล้างจานอีกสองอาทิตย์ ก็เต็มใจ
เพราะชื่นชม ความตั้งใจของพี่คนเสิร์ฟ

อิ่มท้อง ก็บอกลาอาซากุสะ
ขึ้นรถไฟมาลง สถานีอุเอโนะ
ร.พูดขึ้นลอยๆว่า คนญี่ปุ่นตัวเล็กจัง
เเล้วขอให้เราถ่ายรูปยืนยันว่า คนญี่ปุ่นตัวเล็กจริงๆ



สถานีอุเอโนะ
เป็นสถานีเชื่อมกับสายรถไฟใต้ดินหลักหลายๆสาย
ข้างบนสถานีรถไฟ คือสวนสาธารณะอุเอะโนะ
ซึ่งขึ้นชื่อด้านความสวยงาม ในฤดูใบไม้ผลิ

เเต่ที่ขึ้นชื่อกว่า สําหรับชาวต่างถิ่น อย่างเรา
คือการไปดูคนญี่ปุ่นดื่ม กิน เต้น ร้องคาราโอเกะ ใต้ต้นซากุระ ที่สวนอุเอะโนะ

เชื่อว่าภาพนี้คงเเทนระดับความรื่นเริงเเถวๆนั้นได้ดีพอใช้



(อ่านต่อครั้งหน้า)

Tuesday, April 25, 2006

กลับมาเเล้ว! : Tokyo 101

กลับมาตั้งนานเเล้ว
เเต่ยังมีอาการนอนเร็วอยู่ สี่โมงเย็นก็ง่วงมากๆ
คาดว่า มาจากอาการขี้เกียจมากกว่า

ว่าจะรอเรียบเรียงเรื่องจากบันทึกเสร็จ
ค่อยมาอัพบล็อก
เเต่ถ้าจะรอนี่ คงไปเขียนเอากลางเดือนหน้า
ที่เขียนมา ก็อ่านลายมือไม่ออก เพราะชอบพักเขียนบันทึกตอนสั่งข้าวกิน
...มันหิว ก็เลยรีบเขียน

เอาเป็นว่า เล่าเรื่องตามภาพละกัน




คนรอบตัวถามว่า ไปญี่ปุ่น จะไปทําอะไร
"โอ เราจะไปสูดอากาศ นั่งชมดอกซากุระ"
เนื่องจากมีเวลาเที่ยวเเค่ระยะสั้นๆ (เเค่สองวัน) ก็ทําใจไว้เเล้วว่า
ถ้าโลภมากอยากเที่ยวครบๆ คงจะได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน มากกว่าบนดิน

วันเเรกโลภมาก
ตื่นตั้งเเต่ตีห้า เเอบภูมิใจว่า เที่ยวอย่างนี้สิคุ้ม! มันต้องตื่นเช้าๆ
ปรากฏว่า ทั้ง Ryokan(โรงเตี๊ยม) พร้อมหน้ากันเเหกตาตื่นตั้งเเต่ไก่โห่ (จริงๆต้องกาโห่ กาเยอะมากๆ ประเทศอะไรไม่รู้)

หน้าตา Andon Ryokan

มีพิธีชงชาทุกวันพฤหัส


ที่ตื่นเร็วเพราะ Frommer's บอกว่า
ตื่นเถิด ...ไปเดินตลาดปลากัน
อาเจ๊ ห้องชั้นสาม มาเเอบดูเรายืนเเปรงฟันอยู่พักนึง
ก็มาสะกิดๆ "จะไปตลาดปลาล่ะสิ หน้าตาเหนื่อยๆนะ"
เกรงใจ ก็คุยไปทั้งๆที่ยังเเปรงฟันอยู่ คือว่าเจ๊เค้าอยากนําเสนอ ร้านขายซูชิสดๆ ถูกๆ ที่ตลาด
"อ๋อ อี อิ อ๊ะ" (ดีสิคะ)

ปัญหาอยู่ที่ชื่อร้านมันเป็นตัวอักษรจีน
"ต้า-ห่าว"
ว่าเเล้วอาเจ๊ ก็เอานิ้วเเตะน้ำจากก๊อก ขึ้นมาเขียนที่ผนัง เส้นตัวอักษรเป็นล้าน
"สะกดอย่างนี้ ไปหาดู"



เเล้วจะหาเจอได้ยังไงเล่า
เจอเเต่ปลาตัวใหญ่พอประมาณ กับร้านขายของเเห้งเต็มไปหมด
นี่มัน อ่างศิลา ชัดๆ!

ลงเอยที่ร้านซูชิหน้าตานักท่องเที่ยวมากๆ
เเต่เป็นที่เดียว(ตั้งเเต่เดินมา ห้าซอย) ที่ดูจะพูดอังกฤษได้
โดนสาวเชียร์เเขก ต้อนเข้าร้าน
"เวลคั่ม เวลคั่ม"

ที่ไหนได้
พี่เค้าก็พูดอังกฤษได้เเต่คํานั้น





เดินเท้ามา สวนดอกไม้ Hama Rikyu
ที่มาเพราะจะไปขึ้นเรือ(ที่นี่เรียก water boat ฟังเเล้วทะเเม่งๆ เรือย่อมเเล่นบนน้ำสิ ทําไมไม่เรียก ferry เนอะ)
ชมเเม่น้ำ Sumida เพื่อต่อไปยัง Asakusa
เดินชมสวนดอกไม้ อีกาตัวใหญ่มากๆ บินว่อนเป็นฝูงเหนือหัว เลยกลายเป็นเดินชมนก เเทนดอกไม้
พอสายอากาศเริ่มหนาว เลยว่าจะหลบเข้าไปที่เรือนไม้กลางน้ำ ซึ่งคาดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์

ยังเดินไม่พ้นขอบประตูไม้ ก็มีสาวผิวขาว ผมดํา เเบบญี่ปุ่นดั้งเดิม(ไม่ใช่พวกผิวเเทน ผมทองเเบบเพื่อนเรา) เดินออกมาต้อนรับในชุดกิโมโน

ยังไม่ทันอ้าปากพูด น้องเค้าก็รัวภาษาญี่ปุ่นออกมาเป็นชุด

ยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีคุณตา เดินออกมาจากในบ้าน

ยังไม่ทันได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือให้คุณตาทราบ คุณตาก็หันไปรัวภาษาญี่ปุ่นเร็วปรื๋อกับหญิงสาวคนข้างๆ

เเล้วสองคนนั้นก็ยืนคุย คุย คุย ..จากคุยธรรมดา กลายเป็นเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวร โดยมีข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงกลาง
เป็นการต้อนรับลูกค้าที่มีเอกลักษณ์ดีเยี่ยม




ย่องออกมาเงียบๆ พ้นประตูได้สามเมตร ก็ซิ่งมาท่าน้ำ
กลัวไม่ทันโดยสาร "เรือทางน้ำ"
ต่อเเถวซื้อตั๋วอยู่ ระหว่างนั้นก็เปิด Frommer's เช็คเส้นทางเเก้เซ็ง
หันไปนอกเเถว มีชายหญิงคู่นึงยืนเพ่ง Frommer's เล่มใหญ่ (เป็นของญี่ปุ่นทั้งประเทศ) อยู่เหมือนกัน
เป็นโชคชะตาเเน่ๆ หนึ่งในสองคนนั้น เงยหน้าขึ้นมาพอดี
เเล้วเราก็เเลกรอยยิ้มมุมปากให้กัน
เป็นรอยยิ้มเเบบ "หึ หึ เเกก็โดนหนังสือท่องเที่ยวครอบงําเหมือนกันสินะ"

เดินมาครึ่งวันเเล้ว พบว่า การมาเที่ยวโตเกียวเอง เเบบไร้ทัวร์ ไร้ญาติ
ไม่ต้องไปพกหนังสือหนักๆอย่าง พวก Lonely Planet, Frommer's หรอก
การท่องเที่ยวญี่ปุ่นมีหนังสือเล่มบางๆ ของJapan Travel Bereau ที่สนามบิน
มีทุกอย่าง ทั้งเเผนที่ เเละ จุดน่าสนใจกับคําอธิบายสั้นๆ เวลาเปิด-ปิด

ที่เราต้องการจริงๆก็คือเเผนที่ดีๆ กับประโยคภาษาญี่ปุ่นที่ว่า "ห้องน้ำไปทางไหน"เท่านั้นเองเเหละ
ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ Frommer's ไม่มี




เห็นตึกอึทอง
เราก็ถึง Asakusa เเล้ว
ร.บอกว่า ต้องประเทศที่เจริญๆเเล้วเท่านั้น ถึงจะมีความมั่นใจ ทําประติมากรรมเเปลกๆเเบบนี้ออกมาได้
คําว่าเเปลก จริงๆเราเเปลคําพูดมาจากคําว่า controversial ซึ่งหมายความถึง ความเเปลก ที่เป็นความเสี่ยง
มากกว่าที่จะ เเปลก ..เเบบสัตว์ประหลาดสามหัว

(หลังจากที่ ร. มาเห็นเเท็กซี่ สีชมพูเเปร๊ด ที่กรุงเทพ
ร.ก็บอกว่า เออ เมืองไทยเเปลกดีเนอะ เเต่คําว่าเเปลกคํานี้ มาจากคําว่า odd เเทน)

ตึกนี้เป็นตึกของบริษัท เบียร์ อาซาฮี
เพื่อนจั่นบอกว่า ตึกข้างหลัง เป็นสัญลักษณ์ เเก้วเบียร์ กับ ฟองเบียร์นุ่มๆ
เเต่ไอ้ก้อนคล้ายอึ สีทองนี่
"..ไม่รู้เหมือนกันว่ะ"





ก่อนเเยกกับเพื่อนๆที่สถานี Asakusa
มันฝากบอกว่า เที่ยววัดไทย ให้สนุกนะ
ฟังเเล้ว งงๆ อ๋อ "วัดพุทธ" ใช่มั้ย
ที่นี่มีวัดสองอย่าง Templeใช้เรียกวัดทางพุทธ ส่วน Shrine เป็นศาลเจ้าของ ชินโต

Sensoji ไม่ใช่เเค่วัดพุทธ อย่างเดียว
ยังเป็นวัดที่มีคนไทยหนาเเน่นมากๆ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เดินไปไหนก็ได้ยินเด็กร้องงอเเง หิวข้าวเป็นภาษาไทย (เวลาเที่ยงวันพอดี)


ที่ไหนๆก็มีเซียมซี


ที่ไหนๆก็มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์


ที่ไหนๆก็มีตรอกศักดิ์สิทธิ์

...
เชื่อเหรอ?
ล้อเล่นต่างหากนะ
...

Asakusa เป็นเมืองที่ว่ากันว่ายังคงความเก่าเเก่ของสมัย Edo ได้อย่างครบถ้วน
เสียดายไม่ได้เดินลึกกว่านี้ เเต่ก็ยังได้เดินทะลุตรอกซอกซอยบ้าง
เพราะเที่ยงนี้ กะว่า จะกินร้านอาหารญี่ปุ่น เพื่อคนญี่ปุ่น!


(อ่านต่อคราวหน้า)

Tuesday, April 04, 2006

I'll be back when the flowers bloom



ตอนนี้ใบไม้ต้นไม้ยังเเห้งๆอยู่เลย
เเต่ต้นหญ้าเริ่มเห็นเเวว จะผลิใบ อยู่รอมร่อเเล้ว

กลับมาอีกที
หลังบ้านคงเป็นสีเขียว วัชพืชเริงร่า เต้นระบํากันเต็มไปหมดเเหงๆ

วันนี้ไม่เขียนมาก
เเต่จะเเนะนําblogของจั่น
เธอไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว มาเดือนนึงเเล้ว (ยังมีชีวิตอยู่นะ!)
เเล้วก็ถ่ายรูปงามๆ มาหลายรูป

ตามลิงค์ได้ที่ด้านขวามือครับท่าน
จั่นของขึ้นเขียนblogเป็นภาษาอังกฤษ
เเต่เเค่ดูรูปก็เพลินเเล้วนะฮะ
parsley number

เชิญๆ

Monday, April 03, 2006

ตีนฟ้า พาทัวร์ 0




เกิดมาเป็นคนเท้าเบอร์ห้ามาตั้งนาน เพิ่งมารู้!
ที่ผ่านมาหลอกตัวเองว่าเป็นคนใส่รองเท้าเบอร์หก มาตลอด
ขี้โกงจริงๆ

หรือเราเองไม่เคยตั้งใจลองรองเท้าจริงๆเลยซักครั้ง
เป็นไปได้ไงเนอะ -_-'
มิน่ารองเท้าที่มีอยู่ก็หลวมๆทั้งนั้น (นึกว่าใส่ๆไปเเล้วมันยืด)

จะไปเที่ยววันพุธนี้เเล้ว
เกิดจิตวิปลาส เออ บริษัทไซด์คิกของเราชื่อ bluefoot นะ
อยากได้รองเท้าสีฟ้าโคตรๆ มาใส่ไปเที่ยวจัง
(ชื่อbluefootจริงๆตั้งมาจาก นกตีนสีฟ้า bluefooted-boobie ที่เกาะกาลาปากอส นกพันธุ์นี้ เป็นนกเด็กเเนว
ดํารงชีวิตอยู่ที่เดียวในโลก ก็ที่เกาะนี้)

เรามันพวกชอบมั่ว ร.เค้าตั้งชื่อเค้ามาดีดี
เราก็...อ่ะ ตีนฟ้า พาทัวร์เกาะติดม็อบไทย

ไปหาซื้อรองเท้าสีฟ้าดีกว่า


ทีนี้ประเทศนี้น่ะ คนเท้าใหญ่ๆกันทั้งนั้น
รองเท้ากีฬาของผู้ใหญ่ที่ขายตามร้าน เล็กสุดก็ยังเป็นเบอร์หกเลย

เราก็เลยต้องสั่งรองเท้าจากอินเตอร์เนท
คนที่นี่เขาคงชินเรื่องสั่งของออนไลน์กันเเล้ว เเต่เราไม่ชิน
ไม่เห็นของกัน ตัวเป็นๆ
ซื้อไม่ลง อิดออดอยู่ตั้งนาน
เเต่ก็ตัดใจสั่งไป ถือเป็นประสบการณ์

รองเท้าคอนเวิร์ส run small กว่าของชาวบ้านชาวช่อง
หมายความว่า ใครที่ปกติ ใส่รองเท้าเบอร์ 8
ถ้าจะซื้อคอนเวิร์ส ต้องไปซื้อเป็นไซส์ 6 เเทน
(อันนี้ไม่นับ คอนเวิร์สปลอม นะ)

ดังนั้นรองเท้าอิฉัน เลยกลายเป็น เบอร์สาม
ตีนคนเเคระ นะนั่น

คอนเวิร์สส่งรองเท้าเบอร์มาอาทิตย์ที่เเล้ว
เปิดกล่อง กลายเป็นรองเท้า เบอร์ สามครึ่ง
เเละอีกข้างเป็นเบอร์ เจ็ด
...

โทรไปชี้เเจง
อธิบายอยู่นานมาก
มันไม่เชิงมาผิดไซส์ มัน..ไม่เข้าคู่กันเลยต่างหาก (เว้ย)

ถ้าผิดขนาด คือ เราสั่ง สาม เเต่จริงๆใส่สี่
อันนี้เค้าจะคิดค่าส่งมาอีกต่างหาก
เป็นค่าโง่

เเต่อันนี้มัน..ผิดจากที่สั่งไปเยอะมากมาก

ตอนเเรกเค้าบอกว่า จะเปลี่ยนต้องรอ สามอาทิตย์
เราก็ ค่ะ ค่ะ โอเคค่ะพี่ ได้ค่ะพี่ รอค่ะพี่
พอวางหู เอ๊ะ จะเดินทางอาทิตย์หน้านี้เเล้วนะ เมื่อกี๊พูดอะไรไม่รู้เรื่องนะ

โทรปรึกษา ร.
ร.บอกว่า ของในโลกนี้จะได้มาง่ายๆ ต้องเปลี่ยนโหมดการพูดเป็นคุณป้าเเก่ขี้บ่น
เเถมเชียร์ให้โทรกลับไปพรรณาถึงความยากลําบากในการไปไปรษณีย์เพื่อส่งรองเท้าคืนโรงงาน
ความผิดหวังที่ไม่ได้ใส่รองเท้ายี่ห้อนี้ ไปเดินโฉบญี่ปุ่น เเถมต้องรอรองเท้าใหม่อีกชาติเศษ เเละอื่นๆ

เราก็เเหม...ไม่อยากโทรเลยนะ
ไปทําให้เค้าลําบากใจ เปล่าๆ
รองเท้าคู่เดียว

เเล้ววิญญานป้าเเก่ๆก็เข้าสิง

โทรไปอธิบายว่า ป้าลําบากนะลูก ส่งมาผิดๆอย่างนี้
เเล้วก็พร่ำบ่นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เเละ เรื่อยๆ

สามวันถัดมา
รองเท้าคู่ใหม่ก็มาถึงชานบ้าน
ไม่เสียค่าส่ง
รองเท้าคู่เดิมที่ส่งมาตอนเเรก เค้าก็ส่งคนมารับกลับคอนเวิร์ส ด้วยเช่นกัน..ถึงหน้าบ้าน

ป้าเเก่ๆขี้บ่น ครองโลกจริงๆ


...


จากนี้จะลาพักร้อน ไป ไทย - ญี่ปุ่น - ดินเเดง (มุขควายเนอะ)

เขียนรายการทัวรไว้เเล้ว
เเต่คิดว่า กําลังกายคงมีไม่พอ
ยังไง ถ้าโชคดี เจอกันงานหนังสือ วันที่เก้า

Saturday, March 18, 2006

Dormant : หนังสั้นของข้าพเจ้าเมื่อ 2004



ลองใช้บริการ YouTube ดู
เลยขอประเดิมด้วยหนังเรื่องนี้

ถ่ายทําเมื่อปี 2004 (ก็หลายปีเเล้วเนอะ)
กํากับเรื่องนี้กับเพื่อนอีกคนนึง เเล้วก็ตัดต่อเอง
เเต่ให้เพื่อนช่างภาพอีกคนมาเป็นดีพี (คนคุมมุมกล้องนั่นเอง)

ตัวหนังสืออาจจะอ่านยากไปหน่อย (ขออภัย)

เรื่องนี้เป็นการนําบทกลอนของ Emily Dickinson
เกี่ยวกับความรักหม่นๆ มาทําเป็นภาพยนตร์ 16mm ขาว-ดํา
มันก็เอื้อให้เราจัดเเสงเงา ให้มันตัดกันมากๆ
เพื่อให้เนื้อเรื่องส่อไปทางด้านมืดของมนุษย์

เป็นความพยายามทางฟิลม์นัวร์ ของข้าพเจ้า
เพราะส่วนตัวเเล้ว ชื่นชม หนังทางgerman expressionism
เเต่ว่าไม่ค่อยให้ใครได้รู้

ตอนถ่ายเรื่องนี้ ก็ไม่ได้กะให้ภาพมัน distort มาก
เเต่ใช้การไม่เปลี่ยนมุมกล้องเเทน
ให้มันอึดอัด สับสน มึนงง

กว่าจะเอาไอ้เรื่องนี้ลงเทปได้
เสียเหงื่อไปเยอะมาก
เพราะเราไม่มีเครื่องถ่ายฟิลม์ ลงวีดีโอ
ต้องไปฉายบนจอจากเครื่องฉายหนัง เเล้วถ่ายลงเทปอีกที
(-_-)'

Frommer's VS Lonely Planet



ตกลงใจซื้อหนังสือ City Guide: Tokyo ของ Frommer's มาเเทน Lonely Planet
ตอนเเรกว่าจะให้โอกาส Lonely Planet อีกซักครั้ง
เเต่ก็เกิดใจเเคบขึ้นมากระทันหัน

ครั้งสุดท้ายที่ใช้ หนังสือของโลนลี่ ข้อมูลคลาดเคลื่อนเยอะ
พอได้มาใช้ ฟรอมเมอรส์ ก็มีชีวิตรอดมาได้จากการเดินทางเอง ครั้งที่ผ่านๆมา
(ไม่นิยมซื้อทัวร์..เพราะขี้เกียจไปโดนปล่อยตามเเหล่งช็อปปิ้ง)

หาหนังสือที่น้าตู่เเนะนําไม่เจอ ขนาดไปพลิก ร้าน BN มาเเล้ว
ลืมให้เค้าโทรไปถามสาขาอื่นๆ

เวลาที่ใช้ตัดสินใจซื้อหนังสือนําเที่ยวเนี่ย มันนานกว่าหนังสือนิยายหลายเท่าตัว
ดูๆเเต่ละเล่มมันก็คล้ายๆกัน
เเต่กว่าจะไปรู้ว่าเจ๋งไม่เจ๋งเอาจริงๆ ก็ตอนที่นั่งรถไฟผิดสถานี(ไปเเล้ว)นั่นเเหละนะ

Monday, March 13, 2006

ปกสมุด ลายเด็กเนิร์ด



โดนน้องข่มขู่ให้ทําปกสมุดให้มันหน่อย
"จะเอาไปขายเด็กม.4 ที่เพิ่งสอบติดไง เอาเเบบเท่เท่ อ่ะพี่"

ตอนเเรกว่าจะเขียนเป็น มนุษย์ก้านไม้ขีด มีโซ่ล่ามไว้กับโต๊ะเรียน
เเล้วมีตัวหนังสือว่า
"ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนกวดวิชาดูดวิญญาน"

เเต่กลัวเด็กม.สี่ ลาออกไปเรียนอุ๊ สอบ กศน.กันหมด


กระเเสขายสมุดมันลามมาถึงเด็กม.ปลายเเล้วจริงๆ
ฉลาดกันจังเลย
ต่อไปคงเป็นเด็กป.หก ออกเเบบเสื้อห้องกัน
เหมือนเด็กม.สาม

กว่าเราจะได้พิมพ์สมุด พิมพ์เสื้อขาย ก็ตั้งปีหนึ่งเเน่ะ
โชคดีได้เรียนปีหนึ่งเมืองไทย เลยได้ประสบการณ์ ทั้งรับน้อง ทั้งขายสมุด ทั้งขายเสื้อ
พอมาเรียนนี่ ไม่มีซักอย่าง
ทําการบ้านส่งปีเเรกอย่างเดียวก็ไม่มีเวลานอนเเล้ว

มันขายสมุดกันไปทําไม
1. พวกมันเชื่อว่า กําไรจะเพียงพอต่อการจัดงานรับน้อง เลี้ยงข้าวกลางวันน้องเป็นเวลาสามเดือน ซื้อกางเกงเล เเละเสื้อสายเเจกนักเรียนม.ห้า เเล้วก็อาจเหลือไปจัดงานเลี้ยง รุ่นพี่อีกหนึ่งต่อ
2. หรือจะเป็นการโปรโมทรุ่นเเละโรงเรียน ให้กับเด็กที่เผอิญเรียนพิเศษข้างๆ เด็กที่ซื้อสมุดเล่มนี้ไปใช้
3. ให้ความรู้สึกฮึกเหิม ว่า รุ่นเรารักกันมากมาย มีสมุดรุ่น กางเกงรุ่น เข็มกลัดรุ่น ด้วยนะ
4. สมุดตามท้องตลาด ไม่สวย ไม่โดน เลยขอมีส่วนเเบ่งตลาด ตามประสาเด็กเนิร์ด


สนใจอยากช่วยซื้อสมุดน้องๆ (เพื่อไปทําการดังที่กล่าวมาข้างต้น)
ติดต่อได้นะค้า

Monday, March 06, 2006

ออ-สการ์

วันนี้ไปกินข้าวกลางวัน
ก็คุยเรื่องงานเเจกรางวัลออสการ์ที่ดูไปเมื่อคืน
มีเพื่อนคนนึงไม่ได้ดู เราก็ เฮ้ย 'ไมไม่ดูอ่ะ ตลกดีออก
36 mafia (เเรปเปอร์ที่ออกเเนวbling blingสุดๆ)มันได้ออสการ์ด้วยนะเฟ้ย

เพื่อน(คนนั้น)ตอบมาเรียบๆ
"ไม่ล่ะ ไม่อยากดูหรอก รางวัลที่ส่งเสริมพวกฝ่ายซ้าย(liberal)เเบบนั้น"

"..."
ข้าพเจ้าอึ้งไปสามวิ ก้มหน้ามองกุ้งชุบเเป้งทอด พลางคิดว่า วันนี้เลือกกินอาหารไม่มีคุณภาพอีกเเล้ว

"อืม..."

คือว่าพยายามจะหาคําพูดโต้ตอบที่เหมาะสมเเต่ก็หาไม่ได้
นี่ตูเป็นพวกเดโมเเครต หัวเอียงซ้าย กะเค้าด้วยเหรอฟะ
ชอบทางสายกลางนะ เเต่มันไม่ให้เลือกนี่หว่า

เหตุที่คุณ จ.ไม่ดูออสการ์
เพราะว่า ปีนี้หนังเกย์เข้าชิงเยอะ(brokeback, capote, transamerica ทั้งconspiracy รัฐบาล(syriana / goodnight and goodluck เเละหนังภาษาต่างประเทศ จําชื่อบ่ได้)

หนังพวกนี้ มันขัดกับหลักศีลธรรม เเละเเน่นอน..ขัดกับหนังสือเล่มนั้น

ได้ยินมาเหมือนกันตามทีวี ที่ว่ามีกลุ่มศาสนา ออกมาต่อว่าacademy ที่ปล่อยให้brokeback เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
เดือดร้อนถึง สถาบันต้องออกมาเเจง
ว่าคุณๆคะนี่มันรางวัล ที่เเสดงถึง excellency of Cinema นะเฟ้ย
อย่าสับสน

สุดท้าย Crash ก็ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ไปเเทนคาวบอยเกย์ซะนี่
เรายังเเอบคิดว่า academy คงไม่อยากไปปวดหัวกับพวกคุณๆศีลธรรมสูง
เเต่ก็นะ คนโหวตก็อยู่ LA ซะเยอะ
คง relate กับปัญหาเหยียดผิวใน LA ได้มากกว่า ปัญหาหัวใจของคาวบอยใน ไวโอมิ่ง ล่ะมั้ง

เดี๋ยวเอารูปที่ถ่ายกับgromitมาเเปะดีกว่า สมกับที่ชนะทุกเวทีสาขา Animated Feature Film
Cracking Cheese Gromit!

Wednesday, March 01, 2006

โอ .. ทําไปได้

มีคนบ่นๆว่าตามตัวยาก
บล็อกก็ปล่อยให้รกร้าง
ก็อิชั้นทํางานอยู่นี่นา

เฮ้อ
อาทิตย์ที่เเล้วทํางานตั้งเเต่เจ็ดโมงเช้ายันสามทุ่ม เกือบทุกวัน
อย่างกับบริษัทเค้าจะมอบโล่ห์ให้งั้นเเหละ

มาคิดๆเเล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทําไปทําไม
เพราะมันก็เพลินๆดี?

เมื่อสองวันก่อนกระทําการอุกอาจ
คือไปร่วมเซ็นต์ชื่อใน ใบเเสดงความเห็น(บางอย่าง)เกี่ยวกับนาย ก. กับเค้าด้วย
ตอนเขียนไปลงชื่อ ก็คิดเเล้วคิดอีก
กลัวกลับประเทศบ่ได้ อิ อิ
เเต่ไอ้ที่เค้าขายรัฐวิสาหกิจนี่ ก็สาหัสจริงๆอ่ะนะ

พอกลับไปอ่านข้อความเเถลงการณ์ของกลุ่มนักเรียนอีกที (หลังจากที่ส่งชื่อไปเเล้ว)
ก็รู้สึกว่าฟังดูคลุมเครือนะ ไม่มีเหตุผลชัดเจน มารองรับ statements ว่านาย ก. ไม่ดี ไม่เหมาะอย่างไร
เลยฟังดูเหมือนเสียงจากเด็กๆ (ทั้งๆที่ ก็เป็นเด็กที่โตมากเเล้ว กลุ่มนึง)

เขียนเรื่องการเมืองอีกเเล้วนะ
คราวหน้าเปลี่ยนเรื่องมั่งดีกว่า

นับถอยหลัง 35วัน สู่โตเกียว!
ตกลงเรื่องที่พักซักที หลังจากที่เปลี่ยนใจมาสามล้านรอบ
http://www.andon.co.jp/
เว็บสวยดี

Sunday, February 05, 2006

อยู่ผิดประเทศ มั้ยเนี่ย

วันที่ 31 มกรา ที่ผ่านมา

ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ออกเเถลง State of the Union ความยาวเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม
เนื้อหาเป็นการสรุปการทํางานของรัฐบาลในปีที่ผ่านมา เเละเเถมด้วยนโยบายใหม่ของปีนี้

อยู่ที่นี่มาห้าปี เพิ่งได้ดู State of the Union ปีนี้เป็นปีเเรก (เค้าจัดกันทุกปี)

ฟังเพลินๆ นโยบายก็เเนวเดิมๆ
เเต่มีที่เด่นๆอยู่บ้าง อย่างที่ฟังเเล้วก็ต้องหันไปหาคนข้างๆเเล้วอุทานว่า "เฮ้ย จริงดิ"
คือต่อจากนี้ รัฐขอสิทธิ์ดักฟังโทรศัพท์เเละอีเมล์ระหว่างคนในประเทศเเละนอกประเทศ
เผื่อมีใครโทรคุยกับ อัลไคดา จะได้บุกจับได้ทันที

เเต่นโยบายที่ฟังเเล้ว นิ่งไปสามวิ
คือนโยบาย เรียกร้องให้มีระงับการศึกษาวิจัยทางพันธุกรรมศาสตร์มนุษย์
อย่างตัดต่อสเต็มเซลล์ หรือ การทดลองสร้างอวัยวะจากเซลล์เอ็มบริโอ
โดยให้เหตุผลว่า กลัวคนไปทดลองสร้างครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ ฝ่าฝืนพระเจ้าอะไรทํานองนั้น

อืม เค้าไม่สนใจนะ ว่าการวิจัย จะช่วยชีวิตคนไข้ได้มากเเค่ไหน มันผิดหลักศาสนา ก็ทําอะไรไม่ได้

นี่ตูข้ามีชีวิตอยู่ในยุคกลางหรือยังไงวะนี่

Saturday, February 04, 2006

ไม่ได้เขียนอะไรมาทั้งเดือน



สวัสดีปีใหม่ ที่เริ่มจะเก่า

ปลายปี มุมานะ อ่าน Wind-up Bird Chronicle ข้ามปี
มาจบเอาตอนต้นมกรา ไม่เป็นอันทําการทํางาน
เป็นหนังสือนิยายของมุราคามิเรื่องที่สอง ที่อ่านเป็นภาษาอังกฤษ

อ่านเล่มนี้จบเเล้ว ก็เกิดความไม่เเน่ใจ
ว่านิยายเรื่องที่ชอบที่สุดของมุราคามิ คือเรื่องไหนกันเเน่
เพราะส่วนผสมเรื่องนี้ ใกล้เคียงกับเรื่องเเกะรอยเเกะดาว

กล่าวคือ

มีชายวัยสามสิบ
ไม่ทํางาน เเต่ก็มีเงินใช้เรื่อยๆ
ในเรื่องมีเเมว
มีเกร็ดประวัติศาสตร์
มีผู้หญิงลึกลับ
มีเรื่องเหนือธรรมชาติ
เเละมีการตามหาคนที่หายไป

จะว่าไปเเล้ว
เรื่องอื่นๆก็อาจจะประมาณนี้
เเต่ไม่ใกล้เคียงกันมากเท่าสองเรื่องที่เขียนถึง
สรุปว่า คนที่ชอบ เเกะรอยเเกะดาว คงจะชอบ wind up bird

- - - - - - -

เรื่องต้นปี

เตรียมเเผนจะกลับไปเที่ยวบ้านที่เมืองไทย
โทรไปจองตั๋วกับทัวร์เถื่อน
ที่ว่าเถื่อนคือ โทรไปทีไร ป้าคนเดิมเป็นคนรับสายทุกที
ทําให้จินตนาการไปว่า ทั้งบริษัท มีป้าคนนี้กับคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง
เเต่ก็นะ ตั๋วถูกๆ จะเอาอะไรมาก
ซื้อใน travelocity ราคา สองพันห้า
ซื้อกับป้า เหลือ เก้าร้อย
นี่อุตสาหกรรมทัวร์ มันทํากําไรกันมหาศาลขนาดนี้เลยเรอะ


- - - - - - -

วีซ่าญี่ปุ่น

กลับบ้านครั้งนี้ จะเเวะโตเกียวสองวัน
เป็นเหตุให้ต้องขอวีซ่า
ชีวิตนี้ไม่เคยขอวีซ่าเข้าประเทศอื่น นอกประเทศตัวเองมาก่อน
จะว่าไปเเล้ว ก็ไม่เคยขอวีซ่าเองเลยซักครั้ง (-_-)'

เข้าไปอ่านระเบียบการจากเว็บสถานฑูต
ญี่ปุ่นเคร่งครัดเรื่องคนเข้าเมือง อย่างกับ นักท่องเที่ยว จ้องจะเข้าประเทศไปปล้นฆ่าใครงั้นเเหละ
ต้องมีจดหมายเชิญจากคนญี่ปุ่น หรือ ต้องมีเงินในบัญชี หนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญ เป็นอย่างต่ำ
สอบถามเพื่อนฝูง ก็ได้เรื่องราวให้กําลังใจ ประมาณว่า เพื่อนหญิงคนนึงได้โควต้าไปสัมนานักศึกษาเเพทย์ที่ญี่ปุ่น
มีจดหมายเชิญเรียบร้อย พ่อเเม่ก็ไปญี่ปุ่นมาเเล้วหลายครั้ง เธอก็ยังถูกเรียกไปสัมภาษณ์อีก

ไอ้เราก็กังวลไปต่างๆนานา เพราะ ไม่เข้าข่าย requirments อะไรซักอย่างข้างต้น

โทรไปคุยกับสถานฑูต ถึงเพิ่งรู้ว่า ถ้าเดินทาง"ผ่าน"ประเทศ (ในที่นี้ ผ่านไปยังกรุงเทพ)
ขอวีซ่า"ผ่าน"ได้ง่ายๆ ราคา7เหรียญ
โดยยื่นเเค่เอกสารเป็น ตั๋วเครื่องบิน เเละชื่อโรงเเรม


- - - - - - -

ดูหนังดีดี หลายเรื่อง
ยกยอดไปเล่าครั้งหน้า
:D