Tuesday, April 25, 2006

กลับมาเเล้ว! : Tokyo 101

กลับมาตั้งนานเเล้ว
เเต่ยังมีอาการนอนเร็วอยู่ สี่โมงเย็นก็ง่วงมากๆ
คาดว่า มาจากอาการขี้เกียจมากกว่า

ว่าจะรอเรียบเรียงเรื่องจากบันทึกเสร็จ
ค่อยมาอัพบล็อก
เเต่ถ้าจะรอนี่ คงไปเขียนเอากลางเดือนหน้า
ที่เขียนมา ก็อ่านลายมือไม่ออก เพราะชอบพักเขียนบันทึกตอนสั่งข้าวกิน
...มันหิว ก็เลยรีบเขียน

เอาเป็นว่า เล่าเรื่องตามภาพละกัน




คนรอบตัวถามว่า ไปญี่ปุ่น จะไปทําอะไร
"โอ เราจะไปสูดอากาศ นั่งชมดอกซากุระ"
เนื่องจากมีเวลาเที่ยวเเค่ระยะสั้นๆ (เเค่สองวัน) ก็ทําใจไว้เเล้วว่า
ถ้าโลภมากอยากเที่ยวครบๆ คงจะได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน มากกว่าบนดิน

วันเเรกโลภมาก
ตื่นตั้งเเต่ตีห้า เเอบภูมิใจว่า เที่ยวอย่างนี้สิคุ้ม! มันต้องตื่นเช้าๆ
ปรากฏว่า ทั้ง Ryokan(โรงเตี๊ยม) พร้อมหน้ากันเเหกตาตื่นตั้งเเต่ไก่โห่ (จริงๆต้องกาโห่ กาเยอะมากๆ ประเทศอะไรไม่รู้)

หน้าตา Andon Ryokan

มีพิธีชงชาทุกวันพฤหัส


ที่ตื่นเร็วเพราะ Frommer's บอกว่า
ตื่นเถิด ...ไปเดินตลาดปลากัน
อาเจ๊ ห้องชั้นสาม มาเเอบดูเรายืนเเปรงฟันอยู่พักนึง
ก็มาสะกิดๆ "จะไปตลาดปลาล่ะสิ หน้าตาเหนื่อยๆนะ"
เกรงใจ ก็คุยไปทั้งๆที่ยังเเปรงฟันอยู่ คือว่าเจ๊เค้าอยากนําเสนอ ร้านขายซูชิสดๆ ถูกๆ ที่ตลาด
"อ๋อ อี อิ อ๊ะ" (ดีสิคะ)

ปัญหาอยู่ที่ชื่อร้านมันเป็นตัวอักษรจีน
"ต้า-ห่าว"
ว่าเเล้วอาเจ๊ ก็เอานิ้วเเตะน้ำจากก๊อก ขึ้นมาเขียนที่ผนัง เส้นตัวอักษรเป็นล้าน
"สะกดอย่างนี้ ไปหาดู"



เเล้วจะหาเจอได้ยังไงเล่า
เจอเเต่ปลาตัวใหญ่พอประมาณ กับร้านขายของเเห้งเต็มไปหมด
นี่มัน อ่างศิลา ชัดๆ!

ลงเอยที่ร้านซูชิหน้าตานักท่องเที่ยวมากๆ
เเต่เป็นที่เดียว(ตั้งเเต่เดินมา ห้าซอย) ที่ดูจะพูดอังกฤษได้
โดนสาวเชียร์เเขก ต้อนเข้าร้าน
"เวลคั่ม เวลคั่ม"

ที่ไหนได้
พี่เค้าก็พูดอังกฤษได้เเต่คํานั้น





เดินเท้ามา สวนดอกไม้ Hama Rikyu
ที่มาเพราะจะไปขึ้นเรือ(ที่นี่เรียก water boat ฟังเเล้วทะเเม่งๆ เรือย่อมเเล่นบนน้ำสิ ทําไมไม่เรียก ferry เนอะ)
ชมเเม่น้ำ Sumida เพื่อต่อไปยัง Asakusa
เดินชมสวนดอกไม้ อีกาตัวใหญ่มากๆ บินว่อนเป็นฝูงเหนือหัว เลยกลายเป็นเดินชมนก เเทนดอกไม้
พอสายอากาศเริ่มหนาว เลยว่าจะหลบเข้าไปที่เรือนไม้กลางน้ำ ซึ่งคาดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์

ยังเดินไม่พ้นขอบประตูไม้ ก็มีสาวผิวขาว ผมดํา เเบบญี่ปุ่นดั้งเดิม(ไม่ใช่พวกผิวเเทน ผมทองเเบบเพื่อนเรา) เดินออกมาต้อนรับในชุดกิโมโน

ยังไม่ทันอ้าปากพูด น้องเค้าก็รัวภาษาญี่ปุ่นออกมาเป็นชุด

ยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีคุณตา เดินออกมาจากในบ้าน

ยังไม่ทันได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือให้คุณตาทราบ คุณตาก็หันไปรัวภาษาญี่ปุ่นเร็วปรื๋อกับหญิงสาวคนข้างๆ

เเล้วสองคนนั้นก็ยืนคุย คุย คุย ..จากคุยธรรมดา กลายเป็นเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวร โดยมีข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงกลาง
เป็นการต้อนรับลูกค้าที่มีเอกลักษณ์ดีเยี่ยม




ย่องออกมาเงียบๆ พ้นประตูได้สามเมตร ก็ซิ่งมาท่าน้ำ
กลัวไม่ทันโดยสาร "เรือทางน้ำ"
ต่อเเถวซื้อตั๋วอยู่ ระหว่างนั้นก็เปิด Frommer's เช็คเส้นทางเเก้เซ็ง
หันไปนอกเเถว มีชายหญิงคู่นึงยืนเพ่ง Frommer's เล่มใหญ่ (เป็นของญี่ปุ่นทั้งประเทศ) อยู่เหมือนกัน
เป็นโชคชะตาเเน่ๆ หนึ่งในสองคนนั้น เงยหน้าขึ้นมาพอดี
เเล้วเราก็เเลกรอยยิ้มมุมปากให้กัน
เป็นรอยยิ้มเเบบ "หึ หึ เเกก็โดนหนังสือท่องเที่ยวครอบงําเหมือนกันสินะ"

เดินมาครึ่งวันเเล้ว พบว่า การมาเที่ยวโตเกียวเอง เเบบไร้ทัวร์ ไร้ญาติ
ไม่ต้องไปพกหนังสือหนักๆอย่าง พวก Lonely Planet, Frommer's หรอก
การท่องเที่ยวญี่ปุ่นมีหนังสือเล่มบางๆ ของJapan Travel Bereau ที่สนามบิน
มีทุกอย่าง ทั้งเเผนที่ เเละ จุดน่าสนใจกับคําอธิบายสั้นๆ เวลาเปิด-ปิด

ที่เราต้องการจริงๆก็คือเเผนที่ดีๆ กับประโยคภาษาญี่ปุ่นที่ว่า "ห้องน้ำไปทางไหน"เท่านั้นเองเเหละ
ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ Frommer's ไม่มี




เห็นตึกอึทอง
เราก็ถึง Asakusa เเล้ว
ร.บอกว่า ต้องประเทศที่เจริญๆเเล้วเท่านั้น ถึงจะมีความมั่นใจ ทําประติมากรรมเเปลกๆเเบบนี้ออกมาได้
คําว่าเเปลก จริงๆเราเเปลคําพูดมาจากคําว่า controversial ซึ่งหมายความถึง ความเเปลก ที่เป็นความเสี่ยง
มากกว่าที่จะ เเปลก ..เเบบสัตว์ประหลาดสามหัว

(หลังจากที่ ร. มาเห็นเเท็กซี่ สีชมพูเเปร๊ด ที่กรุงเทพ
ร.ก็บอกว่า เออ เมืองไทยเเปลกดีเนอะ เเต่คําว่าเเปลกคํานี้ มาจากคําว่า odd เเทน)

ตึกนี้เป็นตึกของบริษัท เบียร์ อาซาฮี
เพื่อนจั่นบอกว่า ตึกข้างหลัง เป็นสัญลักษณ์ เเก้วเบียร์ กับ ฟองเบียร์นุ่มๆ
เเต่ไอ้ก้อนคล้ายอึ สีทองนี่
"..ไม่รู้เหมือนกันว่ะ"





ก่อนเเยกกับเพื่อนๆที่สถานี Asakusa
มันฝากบอกว่า เที่ยววัดไทย ให้สนุกนะ
ฟังเเล้ว งงๆ อ๋อ "วัดพุทธ" ใช่มั้ย
ที่นี่มีวัดสองอย่าง Templeใช้เรียกวัดทางพุทธ ส่วน Shrine เป็นศาลเจ้าของ ชินโต

Sensoji ไม่ใช่เเค่วัดพุทธ อย่างเดียว
ยังเป็นวัดที่มีคนไทยหนาเเน่นมากๆ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เดินไปไหนก็ได้ยินเด็กร้องงอเเง หิวข้าวเป็นภาษาไทย (เวลาเที่ยงวันพอดี)


ที่ไหนๆก็มีเซียมซี


ที่ไหนๆก็มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์


ที่ไหนๆก็มีตรอกศักดิ์สิทธิ์

...
เชื่อเหรอ?
ล้อเล่นต่างหากนะ
...

Asakusa เป็นเมืองที่ว่ากันว่ายังคงความเก่าเเก่ของสมัย Edo ได้อย่างครบถ้วน
เสียดายไม่ได้เดินลึกกว่านี้ เเต่ก็ยังได้เดินทะลุตรอกซอกซอยบ้าง
เพราะเที่ยงนี้ กะว่า จะกินร้านอาหารญี่ปุ่น เพื่อคนญี่ปุ่น!


(อ่านต่อคราวหน้า)

5 comments:

Fawn said...

^
^
^
((จะดีใจดีมั้ยเนี่ย))

เมื่อคืนทํางานเหมือนได้กระทิงเเดงฉีดเข้าเส้นเลือด (เพราะดื่มไม่เป็น)
ทํางานดึกๆยิ่งคึก

ยังหาสาเหตุไม่พบ
ยกประโยชน์ให้ฤดูกาล

Anonymous said...

รออ่านต่อจ้า

Anonymous said...

รูปสวยดี ใช้กล่องอะไรถ่ายอะ

Fawn said...

I use canon powershot G2.
Big camera, but I totally love the fact that I can spin out the LCD screen.

Anonymous said...

Reading these kind of posts reminds me of just how technology truly is undeniably integral to our lives in this day and age, and I think it is safe to say that we have passed the point of no return in our relationship with technology.


I don't mean this in a bad way, of course! Societal concerns aside... I just hope that as memory gets less expensive, the possibility of transferring our brains onto a digital medium becomes a true reality. It's a fantasy that I daydream about every once in a while.


(Posted on Nintendo DS running [url=http://quizilla.teennick.com/stories/16129580/does-the-r4-or-r4i-work-with-the-new-ds]r4i ds[/url] DS OperaV2)