Sunday, December 25, 2005

วันนี้วันที่ 25

สุขสันต์วันคริสต์มาส เเละ สวัสดีปีใหม่

เพิ่งทําการ์ดเสร็จหมาดๆ
(ยังอุ่นๆอยู่เลย)

กดตามลิงค์นี้นะจ๊ะ
http://bluefootstudios.com/christmascard


สองสามวันนี้ใช้ชีวิตอยู่บนถนนเป็นส่วนใหญ่

24 ธันวาคม สามทุ่มสิบห้า
วัน เเละ เวลา ที่คนอื่นๆ นั่งกินข้าว ดูทีวี เปิดของขวัญ
ข้าพเจ้ากลับมานั่งขับรถบนทางหลวงที่มืดที่สุดในโลก
ก็ใครเค้าจะออกมาขับรถ กันในคืนนี้กันเล่า
นอกจากคนที่ไม่มีครอบครัว กับ คนที่ผิดนัด

หลังจากสัญญาต่างๆที่ให้ไว้กับชาวบ้าน ก็ทําท่าว่าจะเป็นเพียงคําพูดในอากาศ
ความหวังสุดท้ายคือ การที่ไปถึงจุดหมาย ทันเวลาที่ ทุกคนจะเเลกของขวัญ (ห้าทุ่ม)

ทางหลวงสาย 80 ว่างเปล่า
มองตรงไปข้างหน้า เห็นเเค่เส้นประสีขาวพาดบนถนน ในระยะที่เเสงไฟหน้ารถส่องถึง
มองกระจกหลัง มีเเต่ความมืด
คิดๆไปก็สงสัย
นี่เรากําลังจะไปไหนกันเเน่





----




ในที่สุดก็ขับรถถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
หกชั่วโมงบนถนน ถ้าไม่ได้ ซีดีอัดชุด โคตรฮิต2 คงหลับในไปหลายรอบ

ขณะขับเข้าเมืองวิลเลี่ยมสพอร์ต นึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของขวัญให้จอห์น
(เเอบอุทานออกมาในรถ "ชิบ...เเล้ว")
โชคดีที่ คุณป้าร้านดังกิ้นโดนัท ที่กําลังจัดปาร์ตี้ระหว่างครอบครัว อยู่ในร้าน
เงยหน้าขึ้นมาเห็นฉันทําหน้าสิ้นหวังอย่างเเรง ขณะอ่านป้ายหน้าร้านว่า "ปิด เวลา สิบเจ็ด นาฬิกา"
(ไม่รู้ว่า เเฟรนชายส์ ดังกิ้น เมืองนี้ เป็นระบบครอบครัว)

คุณป้าชะโงกหน้าออกมาถามว่า เอากาเเฟมั้ยคะหนู
"ไม่เป็นไรค่ะ เเต่อยากขอซื้อเมล็ดกาเเฟ สองถุง เป็นของขวัญให้เพื่อน"

คุณป้า, เป็นหนี้คุณป้าจริงๆ ชื่ออะไรก็ไม่รู้
ขากลับจะเเวะไปอุดหนุนโดนัทสักสองชิ้น

เเอบรู้สึกผิดที่จอห์นได้ของขวัญเป็นกาเเฟดังกิ้น
เเต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรล่ะมั้ง (-_-)'


หนึ่งในของขวัญปีนี้เป็น ดีวีดี คอนเสิร์ต Jack Johnson : Weekend at the Greek
ดีใจมากมาก

Thursday, December 15, 2005

ป่วยยยยยย



(รูปข้างบนไม่เกี่ยวอะไร กับเรื่องที่จะเขียน)


อยู่ๆก็ป่วย
ปวดหัว เจ็บคอ
ใกล้สิ้นปีทีไร ก็ป่วยทุกที
เป็นเเบบนี้มาสี่ห้าปีติดต่อกัน
ตัดกําลังใจเที่ยวกันเห็นๆ

เนื่องในโอกาสป่วย
จึงเสนอหน้าไปขอใช้ห้อง comfort room ของที่ทํางาน ระหว่างพักกลางวัน
จริงๆเค้ามีไว้ให้ คุณน้าคนท้อง ลงมานอนพักระหว่างเวลาทํางาน
เเต่คนป่วยก็จัดอยู่ในประเภทเดียวกันได้ (เหมือนห้องพยาบาลในโรงเรียน)
ลงไปนอนๆได้สิบนาที พลิกไปพลิกมาก็ยอมเเพ้ เดินออก
คือห้องมันอยู่ข้างๆ ยิม ได้ยินเเต่เสียงคนวิ่ง ตลอดเวลา

กําลังคิดหมั่นไส้อยู่ว่า อะไรจะฟิตกันตลอดเวลาขนาดนั้น
เปิดประตูเดินหัวฟูออกมาในบริเวณยิม เจอ เจ ผจก.โปรเจ็ค เหงื่อโทรมมากๆ
หลุดปากถามว่าไปทําอะไรมา เจ มองมาเเปลกๆ เเล้วบอกว่า ก็ไปวิ่งมาไง

เออ สุขภาพสมบูรณ์กันจริงๆ

(ชิ)
...


อย่างไรก็ตาม
ก็ยังฮึดฝ่าพายุหิมะออกไปช็อป เนื่องในโอกาสสิ้นปี

อิอิ

ซื้อของขวัญให้ชาวบ้านที่เราไม่ค่อยเเคร์ เเต่ต้องให้ตามมารยาท
เป็นเรื่องยากมาก
มันเป็นการเเสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ใน การวางตัว
เเบบว่า ของขวัญเล็กๆถูกๆ ให้เห็นความห่างเหินพอประมาณ
เเต่ต้องให้คนรับทึ่งว่า มันไปหา(ของสุดเท่นี่)มาจากไหน(ฟะ)
เหมือนจะบอกว่า จริงๆเเล้วฉันก็เเอบมีความห่วงใยใส่ใจ นะ...


(รูปข้างบน เขียนขึ้นระหว่างดูทีวี วาดเร็วๆ ลงสีเร็วๆ เน้นความสดของเส้นเเละสี สิบนาที)

Monday, December 05, 2005

เวลาที่หายไป



วันนี้ตื่นช้ากว่าเดิมห้านาที
เป็นการทดลองว่าจะออกจากบ้านเวลาเดิมรึเปล่า

ออกจากบ้านช้ากว่าปกติไป สิบนาที
ทั้งๆที่ทําทุกอย่างเหมือนเดิมเป๊ะๆ
ยืนเหม่อเวลาเเปรงฟัน เต้นระบําเวลาอาบน้ำ
ลงมาข้างล่างเเล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบถุงเท้า
ดื่มน้ำหนึ่งเเก้ว เช็คบัตรเครดิตในกระเป๋าตังค์
มันก็เหมือนทุกวันที่ผ่านมา

เวลาห้านาทีหายไปไหน?

ปล.
จากนี้ต้องขยันหมั่นเอางานมาเเปะบ้างเเล้ว
เก็บไว้ในเครื่อง สีซีดหมด

Sunday, November 06, 2005

ระยะห่าง จาก เส้นตาย -- distance from the deadline

อาจารย์สมจิตต์สอนไว้ตอนม.5 วิชาคณิตศาสตร์
"อย่าไปหวังพึ่งคนอื่น"
หึ หึ
อย่างนี้ก็ทํางานกลุ่มไม่ได้ล่ะสิ
วุ่นวายใจตายเลย

ความพอดีมันอยู่ที่ไหนกันเเน่
เมื่อไหร่ฉันจะทําตัวเด็ดขาดได้ซะทีก็ยังไม่รู้
อยากเป็นคนน่าเกรงขามนะ
ถ้าสูงกว่านี้อีกซัก ไม้บรรทัดนึง มันก็คงช่วยเพิ่มรัศมีความโหดร้ายได้บ้าง

อยากเหี้ยมได้อย่างเจ๊เก็บค่าเเผงที่ตลาดบํารุงราษฎ์จัง
ใครจะกล้ามาพูดจาอ้อมเเอ้ม...เอ่อ ไอ้ฟังค์ชั่นที่ตกลงกันไว้ มันคงเสร็จไม่ทัน..
ไม่มีซะหรอก--โอ หงุดหงิด

ระหว่างรองาน จากคุณๆทั้งหลาย
ก็หยิบหนังที่เช่าไว้ตั้งเเต่วันจันทร์มาดู

Uzak
หนังตุรกี ปีสองพันสอง ใช้ชื่ออังกฤษว่า Distant
หน้าปกดีวีดี มีเเปะรางวัลไว้จนล้นสองบรรทัด รวมทั้ง รางวัลนักเเสดงนํายอดเยี่ยม จากเทศกาลหนังเมืองคานส์

ไอ้เราก็ไม่เคยดูหนังตุรกีซักที เเต่มีความหลังกับหนังตะวันออกกลางว่า มันเนือยๆ ไม่เร้าใจ
ตุรกีนี่ ก็เข้าข่ายยุโรปตะวันออก -- คิดเอาเองมั่วๆว่า น่าจะดําเนินเรื่องเร็วกว่า เพราะอยู่ในเขตที่หนาวกว่า
หรือไม่อย่างน้อยก็อาจได้เห็น hagia sofia ในหนังบ้าง(อยากไปมานานเเล้ว) น่าจะคุ้ม
อะไรเเบบนี้

ดูไปสี่สิบสี่นาทีเเรก..อืม ยังไม่ดําเนินเรื่องไปถึงไหนเลยนะ
นึกถึงหนังการ์ตูนสั้นของดิสนีย์ จากชุดSilly Symphonies ก็มาเเนวเรื่องเดียวกัน
หนูลูกผู้น้อง เดินทางจากบ้านนอกมาหา หนูผู้พี่ ที่อาศัยเป็นคุณหนู อยู่ในบ้านผู้ดีกลางเมืองหลวง
ผิดก็เเต่ เวอร์ชั่นตุรกีนั้น กดดันกว่า เงียบกว่า เเล้วก็มีอารมณ์ขันที่เเปลกกว่า

เป็นหนังที่ถ้าดูๆอยู่ สามารถวิ่งไปเข้าห้องน้ำเเล้วกลับมา มันก็ยังไม่พลาดเหตุการณ์อะไรใหม่ๆ
พยายามดูอยู่ทั้งวัน..ก็ยังดูไม่จบ
ไม่ชอบดู --อ่าน --ชม งานที่เป็นชีวิตจริง Realism มากเกินความพอดี

ไม่รู้ว่า เป็นที่ความเเต่งต่างทางวัฒนธรรม รึเปล่าก็ไม่รู้
คนตุรกี อาจจะเงียบๆ เหม่อๆ
เอาไว้รู้จัก ใครจากประเทศนี้ซักคนสองคน
อาจจะมองหนังเรื่องนี้ต่างออกไป

หวังว่า
.

Sunday, October 30, 2005

อู้

วันนี้เดย์ไลท์เซฟวิ่ง
รัฐบาลเเจกเวลาเพิ่มมาหนึ่งชั่วโมง
เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา ก็นอนกลิ้งเกลือกกรี๊ดกร๊าดอยู่ซักพัก
ก่อนจะไปเเก้เวลานาฬิกาทุกเรือนในบ้าน ย้อนกลับมาหนึ่งชม.

กะว่าจะเริ่มทํางานเช้าๆ จะได้เสร็จไวๆ
วันนี้วันอาทิตย์อากาศดี กะว่าจะออกเดินไปซื้อผัดไทยกินตอนเย็นๆ
ทํางานเสร็จคงซะ สามโมง เป็นทุน ค่าผัดไทยเจ๊นิดา

กินข้าวเช้า ครึ่งชั่วโมง
ดูดิสเคอเวอรี่เเชนเเนลเรื่องยุงเขตร้อน (ดูทําไมวะ)อีกชั่วโมง
อืม ที่เป็นตุ่มเวลาโดนยุงกัด เพราะน้ำลายยุงหรอกหรือ (เรียนไปเเล้วรึเปล่าเนี่ย จําไม่ได้)

ห้าโมง..งานยังไม่เสร็จ

วางเเองคอร์พอยท์ผิด เริ่มอนิเมทไปซักพักใหญ่ ค่อยสํานึกได้
จากผัดไทยnorth marketสุดหรู เลยต้องไปนั่งผัดมาม่ากินเเทน

สามทุ่มพักไปดูทีวี
ไม่มีอะไรดู..งานชิ้นนี้โคตรเฮี้ยน
หงอยๆกลับมาทํางานต่อ

เที่ยงคืน
ก็ยังไม่เสร็จ ยิ่งคิดว่าเเท้จริงเเล้วมันคือเวลาตีหนึ่ง เลยยิ่งง่วง
นั่งหน้ามุ่ยๆอยู่หน้าคอม ก็ดันโดนคนปากห.มา เเชทมาเเซวว่า
เฮ้ย ไม่ได้ทํางานม้างงง
นั่งเล่นsomewhere in betweenอยู่ละสิ

ฮะฮะ

ก็ใช่น่ะสิ

Sunday, October 23, 2005

มองเขา มุมเรา


ช่วงนี้ ที่ทํางานต้องข้องเเวะกับบริษัทจากอินเดียบ่อยๆ
ส่วนมากก็มีเรื่องให้ปวดหัว กับอินเดียเกือบทุกวัน
เลยเช่าหนังสารคดีมาดูเล่น Born into Brothels
เป็นสารคดีที่ถ่ายทําในประเทศอินเดีย

มั่วเอากับตัวเองว่า นี่คงเป็นการเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจ ระหว่างเรากับคนอินเดีย

หนังเริ่มเรื่องที่ ช่างภาพหญิงอเมริกัน เดินทางไปอินเดีย
เพื่อถ่ายรูปวิถีชีวิต คุณโส ในซ่องย่านโซนัคจิ เมืองกัลกัตตา
เเต่จะไปเดินโท่งๆถ่ายภาพ ก็อาจถูกอํานาจมืดเบียดเบียน
เซน่า จึงไปเเฝงตัวเช่าบ้านพักอยู่ในละเเวกโคมเเดง เเละเปิดบ้านเป็นอาสาสมัคร สอนเด็กๆละเเวกนั้นถ่ายภาพ

ในเมื่อผู้ใหญ่ถือกล้อง ไปส่องผู้ใหญ่ด้วยกัน ก็อาจเกิดความบาดหมาง
เด็กๆวิ่งไปวิ่งมากับกล้อง คนไม่ถือสา

เมื่อชีวิตประจําวันของเด็กๆสิบขวบเหล่านี้
ต้องเกี่ยวข้องกับ ปัญหา โสเภณี เเมงดา เเรงงานเด็ก
รูปที่เด็กๆถ่ายจากชั้นเรียนถ่ายภาพของเซน่า
ก็เลยจริงใจ ไร้เดียงสาจนน่าเศร้า

เเต่หนังก็ไม่ได้โชว์เเค่ด้านมืดนะ
ด้านสว่างมันมาทีหลังไง
สว่างยังไงไม่บอกดีกว่า 55

ดูหนังเเล้วก็สงสัย ทําไมเราไม่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนเค้าวะ (เเหะๆ .. พาลน่ะ)

ไปเช็คที่เว็บไซต์ kids-with-cameras.org ดูเมื่อวาน
เป็นโครงการที่ตั้งขึ้นมาหลังจากหนังออกฉาย
เพื่อช่วยเหลือเด็กๆของโครงการโดยการขายภาพถ่ายของพวกเขาเป็นทุนการศึกษา

ไม่มีโครงการมาตั้งสาขาประเทศไทยมั่งเนอะ
ดูหนังเเล้วก็รักเด็กขึ้นมาอีกนิดนึง (จากเมื่อก่อน ที่ชอบกินตับเด็ก)

เเต่ก็ยังไม่ชอบผู้ใหญ่อินเดีย บางคนอยู่ดี
((เมื่อไหร่จะทําตัวน่ารักซะทีล่ะคะลุง))

Sunday, October 09, 2005

บ้านเมืองเราสมัยนี้....



เพื่อนจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นบ้านใหม่
มันก็จัดเเจงทําจดหมายเชิญ เเนบมากับอีเมล์
ในจดหมาย ไม่ได้บอกเเค่ที่อยู่ เเต่ส่งรูปถ่ายดาวเทียมมาให้ดูด้วย เพื่อบอกจุดที่จะเอารถไปจอด
หืออ..ไปเอาภาพนี้มาจากกูเกิ้ลเรอะ...?

เเละเเล้ว
ฉันก็เกิดอาการอยากรู้ว่า
ไอ้ภาพถ่ายดาวเทียมมันถ่ายไปถึงเมืองไทยด้วยรึเปล่า

กว่าจะหาตัวอําเภอของชลบุรีเจอ ก็ทําให้ปวดขมับตุบๆ
หลังคาบ้านมองยังไงก็เหมือนๆกันไปหมด ภาพถ่ายดาวเทียมก็ไม่มีจังหวัดบอกไว้
เกือบจะเลิกมองหาบ้านพ่อเเม่ซะเเล้ว
เเต่หน้าจอก็เลื่อนไปหยุดที่โรงเรียนมัธยมต้นเก่าพอดี

เฮ้ยยยยย นั่นมันสระน้ำโรงเรียนนี่นา โรงพละ...รูปปั้นร.ห้าด้วย
เเล้วตรงนั้นมันศาลากลาง..ใช่มั้ยเนี่ย

โชคดีที่โรงเรียนเก่า อยู่ติดทะเล
ฉันเลื่อนหน้าจอขึ้นตามชายฝั่งมาจากทางจันทบุรี
สุดท้ายก็เจอกับสถานที่คุ้นหน้าคุ้นตา

ตื่นเต้นสุดๆ

จากโรงเรียน ฉันตั้งสมาธิ หาทิศเหนือใต้
สมมติในใจว่า ขับรถไปรับน้องสาวจากโรงเรียน กลับบ้าน
เเล้วฉันก็พบตัวเอง สนุกกับการขับรถหลอกๆ บนเเผนที่อีเลคโทรนิคส์

จากโรงเรียน
ฉันขับรถไปตลาด สมมติว่า น้องอยากเเวะซื้อขนมก่อนกลับบ้าน
ขับไปร้านเครื่องเขียน ซื้อกระดาษ กับพู่กันสีน้ำ
ขับรถไปหาย่ากับอา ที่บ้านเก่า เเล้วเเวะร้านขายส่งน้ำอัดลม
ซื้อโค้ก ลังใหม่ ไปตุนไว้ที่หลังบ้าน
เติมน้ำมัน ปั๊ม ปตท.
เเล้วก็กลับบ้าน

กลับถึงบ้านได้
จึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานจากท้องฟ้า

สวัสดีน้องๆที่บ้าน
หลังคาบ้านเรายังเป็นสีฟ้าสดเหมือนเดิมเลยนะจ๊ะ

Saturday, October 01, 2005

ขายรถได้เเล้วนะจ๊ะที่รัก



ถ้าอยากรู้ว่า เวลานั้นผ่านไปเร็วขนาดไหน

ให้ดูที่วันหมดอายุ นม
ตอนซื้อก็คิดว่ายังมีเวลาดื่มอีกยาวไกล
เเป๊ปๆ เปิดตู้เย็นมาอีกที
บูดไปเเล้ว
เดือนนึงเเล้วหรือ(วะ)นี่!


---


เพิ่งขายรถคันเก่า -aka.สนูปปี้(คิดๆเเล้วก็อนาถนะ .. ตั้งชื่อรถ)
ขายไปหมาดๆ
รอยเเดดเผาคอนกรีตรอบๆที่ ที่รถเคยจอดยังไม่ทันจาง

ซื้อมา หนึ่งพัน ขายไป หนึ่งพัน

อะไรวะ เสียเเรงเป็นลูกสาวพ่อค้า!!

ช้าก่อน..พ่อ
อย่าเพิ่งโวยวาย
รถหนูเนี่ยเเทบจะขับไม่ได้เเล้ว เเอร์เสีย ซีดีโดนโละไปเป็นช่องโหว่เลย
เอาเป็นว่า ขนาดตั้งชื่อรถเอาฤกษ์เอาชัย
สรุปเเล้ว รถก็..สภาพน่าเศร้าอยู่ดี

ตอนที่มีคนเอาเงินสดมาซื้อ
รับเงินเข้าบ้าน หากระดาษเขียนใบเสร็จ
รู้สึกผิดยังไงไม่รู้
รถมันไม่ดีนะ ยังอยากซื้อไปอีกเหรอ

นี่ฉันสร้างศัตรูรึเปล่าเนี่ย
อีกหน่อยต้องย้ายบ้านหนีหรือรึเปล่าวะ

ขอให้คุณลูกค้าโชคดี
ถือซะว่า เป็นกรรมเก่าของเราสอง ก็เเล้วกันนะ

Tuesday, September 27, 2005

มื้อสุดท้าย

อากาศเย็นเหมือนหน้าหนาวเเถวบ้านเรา


อากาศเย็นทีไร นึกถึงปีใหม่ ทุกที

ปีใหม่ของฉันไม่มีหิมะ

มีเเต่ลมทะเล กับ ม่านหมอกโรยตีนเขา



---



ข่าวตอนเช้า


นักโทษคดีฆาตกรรม ถูกตัดสินประหารชีวิต หลังจากติดคุกมาเก้าปี

อาหารที่นักโทษสั่งเป็นมื้อสุดท้าย

คือ ชีสเบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด เเละน้ำอัดลม



ฟังเเล้วก็เกิดสงสัยว่า

ถ้าเป็นตัวฉัน

..

จะกินอะไรเป็นมื้อสุดท้าย?




ไม่ใช่ว่า กําลังวางเเผนจะไปฆ่า หั่น ใคร อะไรเทือกนั้น

เเค่สงสัย

Sunday, September 25, 2005








วันเสาร์

ไปร่วมงาน Via Colori|Street Painting
ปีนี้ได้เพนท์บนพื้นที่หก คูณ หก ฟุต เช่นเคย

ปีที่เเล้วหลังจากจบงาน ก็ตั้งปณิธานไว้ว่า
ปีหน้าจะเตรียมตัวให้พร้อมสองเดือนล่วงหน้า
พอมาปีนี้จริงๆ
กว่าจะได้นั่งคิด นั่งวาด ก็เช้าวันเสาร์ เหมือนเดิม

เหมือนที่ทินกร หุตางกูร เขียนไว้
คนเราใช้เวลาตัดสินใจจริงๆ เพียงสองวินาที
อีกสามร้อย หกสิบสี่วัน ยี่สิบสามชั่วโมง ที่เหลือ
คือเวลาไตร่ตรอง


จนตกบ่ายนั่นเเหละ
ถึงค่อยยุรยาตร ออกไปถึงสถานที่จริง
เเล้วก็รีบเขียนกัน อย่างกับโรงงานนรก

เจ้าข้างๆ เป็นศิลปินช่างคุย
ชวนคุยนู่นคุยนี่
ไอ้เราก็รีบๆ กลัวเเสงหมด ได้เเต่ตอบ อือ ออ
ไม่อยากลงสีกลางเเสงเทียนนี่นา
มันโรเเมนติกไป .. ฉันมันคนจิตใจอ่อนเเอ

น้องชายบอกว่า ให้วาดหลุมสิ เป็น op art
หรือไม่ก็ Crime Scene รูปoutlineคนนอน
ไอ้เราก็ขําๆ บ้าเรอะ
เเต่ก็...มีคนทําทั้งสองอย่างจริงๆด้วยอ่ะ
คอนเซ็ปท์สากลมั้งวี

สังเกตได้ว่า
คนส่วนใหญ่ชอบภาพเหมือนจริง (realism)
เห็นภาพนกยูง ก็กรูกันเข้าไปชื่นชม
อู้ยยย เหมือนจังเลย อย่างกับภาพถ่ายเเน่ะ

เหมือนภาพถ่าย เเล้วจะเพ้นท์ไปทําไม (วะ)คะ


--------


วันอาทิตย์

ย้อนกลับไปเช็คว่านามบัตรหมดรึยัง
36ใบหายเกลี้ยง ((ดีใจ))
หยิบออกมาเติมอีกฟ่อน เเล้วก็นั่งกินหนมคุมเชิงเเถวๆนั้น

ปรากฎว่ามีเเต่เด็กๆมาหยิบ
จะบอกน้องๆว่า เฮ่ยบัตรเเพงนะเฟ้ย อย่าหยิบทิ้งหยิบขว้างเด่ะ
ก็เกรงใจผู้ปกครอง

คืนนี้เขาจะลบภาพทิ้งเเล้วล่ะ
เเต่ถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งเเต่เย็นวันเสาร์เเล้ว

ปีหน้าฉันจะเตรียมพร้อมกว่านี้!


โหลดรูปเสร็จจะเอามาเเปะอีก
ของคนอื่นๆ บางอันมันสวยกว่า หมดอารมณ์โหลด

วันนี้เลยขอหลงตัวเองซักวัน...นะจ๊ะที่รัก


Thursday, September 22, 2005

ว่าด้วย ลาว คําหอม

จั่น,

หลังจากที่เราคุยกันวันนั้น เรื่อง ลาว คําหอม คือนักเขียนไทยที่ดีที่สุด ?
เราก็ไปนั่งจ้องชั้นหนังสือน้อยๆของเรา
(ตอนนี้อ้วนขึ้นเล็กน้อยเเล้ว จากหนังสือที่จั่น, เพื่อนผู้มีอุปการะคุณ, เเละท่านพ่อส่งมา)

เราเเทบจะไม่มีหนังสือภาษาไทยที่เขียนโดยคนไทยเลยล่ะ

เราเลือกหนังสือที่เราโคตรชอบออกมา
ก็เจอเเต่ มิลาน คุนเดอรา ฮารุกิ มุราคามิ
อ้อ เราก็ชอบสมัญญาเเห่งดอกกุหลาบนะ (เล่มนี้ที่เราอ่านอยู่สองปีไงล่ะ)
เเต่ไม่อาจพูดได้ว่า เราชอบ อุมเเบรโต้ เอโก้

เเต่เมื่อมานั่งนึกๆถึงชั้นหนังสือของพ่อ
เราก็เริ่มไม่เเน่ใจว่า วันนั้นที่บอกว่า ลาว คําหอม ดีที่สุดนั้น เป็นคําพูดที่หนักเเน่นรึเปล่า

เราจะตัดสินใจได้ยังไงว่า นักเขียนคนไหน คือ คนที่ดีที่สุด
ในเมื่อ การเขียนมันก็มีทั้ง เรื่องสั้น นิยาย บทละคร เเละอื่นๆ

พูดถึงเรื่องสั้น
เรามานั่งนึกๆดูเเล้ว
เราว่า วินทร์ เลียววาริณ ก็เขียนดี
ทินกร หุตางกูร
คมสัน นันทจิต
เเละเราคิดว่าปราบดา หยุ่น (ที่เเกเข้าใจผิดว่าเราติดใจหน้าตา) บางทีก็เขียนได้โคตรดี เช่นกัน

เเต่เราว่า
เราชอบที่ เวลาเราอ่านงานของ ลาว คําหอม เเล้ว
เราลืมไปเลยว่า เรื่องสั้น ใน ฟ้าบ่กั้น เขียนขึ้นเมื่อ เกือบ ห้าสิบปีที่เเล้ว?
นั่นเป็นส่วนนึงที่พวกเราถึงกับพูดว่า เขาเป็นนักเขียนที่ดีที่สุดรึเปล่าวะ

ภาษาที่ไม่ตายไปตามกาลเวลา

นึกเสียดายที่คิดไปว่า มันเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา
คงจะน่าเบื่อ
เราอ่านหนังสือเก่าๆ ส่วนมากก็จะงงๆ
เนื่องจาก ช่องว่าง มันกว้างเกินไป



ปล.

วันนี้หัดเล่นไพ่โปกเกอร์เป็นครั้งเเรก
ได้ beginner's luck ชนะไปมือนึง ที่เหลือเเพ้เรียบ
เเต่ไม่ได้กินตังค์กันหรอกนะ
เล่นกระชับมิตร ระหว่างงานสังสรรค์สํานักงาน
หลังจากไปตบวอลเลย์มาหนึ่งเกม

สนุกดีเหมือนกัน

Monday, September 19, 2005

ขับรถสองเเถวส่งเเต๋วเรียนราม

ขับรถบนทางด่วนตอนเย็นๆ
ได้ไปจอดติดรถพ่วงสองตอนคันใหญ่ มีตัวหนังสือเขียนไว้ข้างหลัง

"student driver"

อืม.. เพิ่งหัดขับ .. ก็มือใหม่หัดขับสินะ
มีโรงเรียนสอนขับรถบรรทุกด้วยเรอะ
เล่นมุขอะไรรึเปล่า(วะ)


---


เมื่อก่อนก็เห็นป้ายหลังรถบรรทุกทํานองนี้เหมือนกัน
เเต่ส่วนใหญ่ไม่มีอย่างเรียบๆ ตัวอักษรดําบนพื้นขาวเเบบนี้
มันมักจะมากับ รูปหัวใจ ตัวหนังสือหางตวัด เเล้วก็ข้อความหักมุมหวานๆ ซื่อๆ คมๆ

อาชีพของที่บ้านทําให้ได้มีโอกาสพบปะกับเหล่าคุณลุงรถบรรทุกบ่อยๆ
ทั้งคนขับรถ ทั้งเจ้าของรถ
ช่วงปีหลังๆ กิจการรถทัวร์ทางจังหวัดชายฝั่งตะวันออกเมืองไทย
เกิดกระเเส pimp รถทัวร์กันเอิกเกริก
รูปข้างรถทัวร์เรา ไม่ได้มีเเต่รูปวิวอย่างเดียว มีทั้งเเนวกราฟฟิค
เเนวเหนือจริง เเนวคาวบอย เเนวอาร์ต นูโว เเละอื่นๆ
(น่ากลัวที่สุด คือ รถทัวร์ลายดิสนีย์-ปลอม)

เจ้าของรถ คงคาดว่าพ่นสีสวยๆเเล้ว
คนนั่งจะได้ลืมว่าเบาะข้างในรถ ก็ยังเก่าเหมือนเดิม

พ่นสีรถซะสวย
เลยไม่มีที่ว่างติดสติกเกอร์ให้ คน(รักปรัชญารถบรรทุก)อย่างเราอ่าน



---

ระหว่างรถค่อยๆคืบไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ฉันเเซงรถกระบะคันซ้าย เบียดเข้าไปตีคู่กับรถพ่วงคันหน้า
ปรากฏว่าข้างรถมีป้าย นักเรียนหัดขับ ติดอยู่อีกสองป้าย
ระหว่างกลาง มี ชื่อมหาวิทยาลัยเเห่งหนึ่งติดอยู่
โรงเรียนสอนขับรถพ่วง ภาควิชาอะไรซักอย่าง

มันเป็นนักเรียนหัดขับรถบรรทุกจริงๆด้วย!

คนต้องหัดขับรถบรรทุกกันเป็นจริงเป็นจังอย่างนี้เชียวเรอะ


ด้วยความสงสัย เลยไปค้นดูโรงเรียนสอนขับรถบรรทุก
ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างบทเรียน
เอามาฝาก เผื่อใครอยากไปเรียน

Winter Driving
Full Air Brake Course
Load Distribution
Border Crossing Procedures
Trip Planning
เเละอื่นๆ

ตอนนี้มีความชื่นชมคนขับรถบรรทุกเพิ่มมาระดับนึง

จากภาพ
นักเรียนหัดขับรถ จากสถานการณ์จําลอง
ที่ John Wood Community College

Wednesday, September 07, 2005

อําลา mini ipod อย่างเป็นทางการ

เช้านี้

อากาศเย็น เเดดจ้า
ครอบครัวผู้อพยพจาก หลุยเซียน่า เดินทางมาถึงโคลัมบัส
ที่นี่เป็นหนึ่งในหลายๆเมืองที่เปิดบ้านต้อนรับผู้ประสบภัย

อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข้อโต้เถียงเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างสถานีข่าว เเละกลุ่มผู้ประสบภัย
เรื่องมีอยู่ว่า สื่อใช้คําว่า refugee ซึ่งเเปลว่าผู้อพยพ
เเต่ทางกลุ่มเเย้งว่า พวกเขาเป็นประชาชนที่เกิดเเละโตในประเทศนี้เหมือนกับคนอื่นๆ
ไม่ควรใช้คําว่า refugee ที่ส่วนมากจะเป็นการอ้างถึง ผู้อพยพลี้ภัยต่างชาติ

ในวันถัดมา ทีวีทุกช่องก็พร้อมใจกันเปลี่ยนมาเรียกผู้ประสบภัยว่า evacuee
เเปลตรงๆตัวว่า ผู้ที่ย้ายออกจากพื้นที่อันตราย
เเต่เเปลสั้นๆ มันก็เเปลว่า ผู้อพยพ อยู่ดี

คําๆเดียว ในสถานการณ์ที่เปราะบาง คงมีค่ามหาศาล



-------------


ตอนบ่าย

ทํางานอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงเเซ่ซ้องสรรเสริญ
ดังเป็นทอดๆมาจากโต๊ะ(คอก)หัวเเถวในหมู่นักออกเเบบ

ipod ออกเครื่องใหม่มาอีกเเล้ว

ipod nano

เครื่องเล่น mp3 ยี่ห้อ Apple รุ่นนี้ บางเท่าดินสอ
สิ่งที่เเตกต่างจากรุ่นก่อน คือ ขนาดเล็กลง
ราคาเเพงขึ้น มีหน้าจอสี เอาไว้โชว์รูป

คงที่ประชากรมากมายในโลกนี้
ที่ต้องการเดินฟังเพลง เเละ จ้องรูปกิ๊กบนหน้าจอ ipodเล็กจิ๋ว ในเวลาเดียวกัน

อาทิตย์หน้านี้ เราคงได้เห็นคนเดินถนน เสียบหูฟังสีขาว
ในมือขวาถือ ipod nano
คู่กับมือซ้าย ที่ถือ โทรศัพท์ motorola รุ่น razor บางเฉียบอย่างกับกระดาษ กันขวักไขว่

เเละอีกซักสองสามอาทิตย์ถัดมา
บริษัทใดบริษัทนึง ก็คงจะจัดเเจง เอา ipod มารวม กับ มือถือ

ทีนี้พวกเราจะได้
คุยกับเเฟน พร้อมกับฟังเพลง เเละ มองรูปสาวๆที่โหลดมาจากอินเตอร์เนท
กันเพลินไปเลย

หึ หึ

Monday, September 05, 2005

Go Bucks!

อเมริกันฟุตบอลระหว่างมหาวิทยาลัยเปิดฤดูกาลเป็นวันเเรกเมื่อเสาร์ที่ผ่านมา
ตอนเช้าได้ยินเสียงเพลงเดินสวนสนามของ Ohio State University โหมโรงข้ามสิบช่วงตึกมาถึงหลังบ้าน

ฉันงัวเงียออกจากบ้านไปซื้อข้าวกิน
เหมือนตกอยู่ในความฝัน
ผู้คนสวมเสื้อสีเเดงมีตรา OSU เดินกันคึกคัก
ผู้คนที่ว่า ไม่ใช่เด็กมหาลัย เเต่เป็น ลูกเล็กเด็กเเดง ยัน คุณปู่คุณย่า
ฉันยืนต่อเเถวจ่ายเงิน สวมเสื้อสีดํา หราอยู่คนเดียว
เกิดวิตกจริตว่า ทีมตรงข้ามที่จะเเข่งกันวันนี้ มีสีประจําทีมว่าอะไรวะเนี่ย
หวังว่าไม่ใช่สีดํา

ฉันพอจะเข้าใจว่า คนที่เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้
ก็คงจะเกิดอาการรักสถาบันเมื่อถึงเวลาออกศึกเป็นธรรมดา

เเต่พวกที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย
ทีมเเพ้ เเล้วเสียอกเสียใจ ออกไปทําลายข้าวของ เผารถราษฏร
ความรักชนิดนี้ ซับซ้อนเกินกว่าฉันจะเข้าใจได้

นึกถึงเพื่อนๆสมัยเรียนมัธยมต้น
อดหลับอดนอน เชียร์บอลต่างชาติ กันจนขอบตาคล้ำ

ไอ้ฉันก็พยายามตามกระเเส งดละครหลังข่าว ไปเชียร์บอล
เเต่ก็พบว่าไม่มีอะไรที่สามารถยึดเหนี่ยวฉันกับทีมฟุตบอลได้จริงจัง มากไปกว่าหน้าตาของผู้เล่นบางคน
ในเมื่อเป็นความรักที่ฉาบฉวย
ฉันก็สมัครใจจะหยุดมันลงเเค่นั้น

ขออวยพรให้ทีมฟุตบอล OSU Buckeye โชคดีมีชัย
เเข่งที่บ้านทีไร ก็ให้ชนะมันทุกเเมตช์ไป
ปีนี้จะได้ไม่มีรถใครถูกเผา

Friday, September 02, 2005

0

วันศุกร์

รัฐบาลส่งกองกําลังทหารพร้อมอาหารเเละน้ำดื่ม
ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเขตนิวออร์ลีนส์ที่รออยู่ตั้งเเต่วันอังคาร
ข่าวลือว่า เรามีกองกําลังรักษาความปลอดภัยไม่พอในสามวันที่ผ่านมา
เพราะทหารส่วนใหญ่ ประจําอยู่ที่อิรัก

ผู้สื่อข่าวยิงคําถามไปที่ทําเนียบขาว ถึงความล่าช้าในการช่วยเหลือ
ตัวเเทนทําเนียบขาวอ้างว่าไม่ได้รับรายงาน เรื่อง การอพยพคนไปอยู่ที่ซุปเปอร์โดม จนกระทั่งวันพุธ
ทั้งๆที่ทีมข่าวเกือบทุกสํานักในประเทศ ไปตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ที่นั่นตั้งเเต่วันอังคาร


- - - - - - - - -

ฉันออกจากบ้านเเต่เช้า
ท้องฟ้าสีฟ้าใส ผืนดินเเห้ง
วันนี้เป็นวันเเรกที่ฝนไม่ตก นับตั้งเเต่วันเสาร์ที่ผ่านมา

Thursday, September 01, 2005

3.2.1..

วันพุธ

8:39

ขณะขับรถไปทํางานตอนเช้า เพื่อนโทรมา
"เเกได้ข่าวทางวิทยุมั้ย ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นอีกเเกลลอนละห้าสิบเซ็นต์วันนี้เวลาเก้าโมงตรง"

ฉันเหลือบมองนาฬิกาข้างวิทยุ

"อืมขอบใจ ตอนนี้มีอยู่ครึ่งถัง เเต่เดี๋ยวจะบึ่งไปเติมก่อนเข้าตึก"
"เร็วๆนะเเก ข่าวจริงนะเว้ย มันจะขึ้นเป็นเเกลลอนละสามเหรียญเเล้วนะ"

"โม้เเล้วเเก...เเล้วใครจะขับรถกันวะ มิต้องเดินไปทํางานกันหมดเหรอ"


8:53

ฉันเลี้ยวรถออกจากทางด่วน
มองป้ายราคาน้ำมันลิบๆ
เบนซิน 2.53 เหรียญ
เฮ้ย...เมื่อวานราคาน้ำมัน 2.39 เอง
อยากเตะตัวเองจริงๆ ที่ดันขี้เกียจเติม

รถยนต์ในปั๊มน้ำมันBP จอดต่อเเถวยาวออกมาถึงถนนใหญ่
เเอบปลอบใจตัวเองน่าจะเติมทันน่า อีกเกือบสิบนาที
เติมไว้ตอนนี้ พอมันขึ้นเป็นสามเหรียญจริงๆ จะได้ไม่รู้สึกโง่

ปั้มน้ำมันเชลอีกฟากของถนน เริ่มปลดป้ายราคาลง
ทําให้รถอีกจํานวนนึงเปลี่ยนใจย้ายมาเติมปั๊มเดียวกับฉันอีก หก เจ็ดคัน
ซักพัก มีคนตะโกนว่า ปั้มเชลน้ำมันหมดเเล้ว
ผู้คนตกอกตกใจ เเต่ก็ทําอะไรไม่ได้ นอกจากขยับรถให้เข้าไปใกล้คันหน้าอีกคืบนึง


9:09

รถคันข้างหน้า เป็นคุณนายร่างเล็กขับรถSUVคันยักษ์
เติมน้ำมันนานมาก จนฉันต้องออกจากรถเดินไปถามว่า ปั๊มนี้เสียรึเปล่า(วะ)คะ
คุณนายหันมาเลิกคิ้วมองฉันเเปลกๆ เเล้วก็กลับไปนั่งจ้องราคาน้ำมันบนหน้าจอที่วิ่งขึ้นพรวดๆ
ตามจํานวนเเกลลอนที่รถยักษ์ของเธอสูบออกไป

ฉันมองไปรอบๆ คุณเเม่บ้านเดี๋ยวนี้หันมาขับรถใหญ่ๆกันทั้งนั้นเลย
รถตู้ รถกระบะ รถโฟร์วีลล์ (ไม่รู้ว่าต้องพาลูกไปบุกป่าเข้าดงที่ไหน)

ในที่สุดฉันก็ได้เติมน้ำมัน
คุณนายคนก่อนเติมน้ำมันไป 56 เหรียญ
ฉันขนลุก เเล้วตรูต้องจ่ายเท่าไหร่ฟะเนี่ย


920

มาทํางานสาย
อาย ไม่อยากบอกใครว่าไปร่วมขบวนป่วนปั๊มกับชาวบ้านมาด้วย
เดินเข้ามาที่โต๊ะ (จริงๆเเล้วเป็นคอก)
เพื่อนก็ยิงคําถามเเรกมาเลย

"เเกเติมเต็มถังรึเปล่า"

-------------


วันนี้นั่งดูข่าวตอนเย็น
ราคาน้ำมันขึ้น ก็เพราะสายการขนส่งน้ำมันทางภาคใต้ของอเมริกาถูกตัดขาด ด้วยเฮอริเคน คาทรินา
ทําให้รัฐอย่าง อลาบามา หลุยเซียนา ไม่มีน้ำมันใช้ในเวลานี้
อยากเขียนถึง นิวออร์ลีนส์ ได้ยินข่าวน่ากลัว มามากเหลือเกิน หดหู่เขียนไม่ลง
ฉันเพิ่งได้ยินข่าวเต็มๆก็วันนี้
(สองวันก่อน ไม่รู้เอาหัวไปมุดรูไหน)

พรุ่งนี้จะไปดูว่าจะช่วยบริจาคอะไรได้มั่ง

Tuesday, August 30, 2005

รับรถลูกรัก

เมื่อวาน ฉันไปรับลูกสนุปปี้กลับจากอู่

อู่ที่บอกฉันว่า
ซ่อมได้ ซ่อมเเล้ว
ลูกรักหายป่วยเเล้ว
เเต่สนุปปี้ก็ต้องไปมีจุบจบบนทางด่วนในวันถัดมาอยู่ดี

เมื่อวานราวสามทุ่ม ฉันจึงต้องออกไปรับลูกกลับบ้าน
ในสภาพที่ คิดว่าจะใส่ตะกร้าล้างน้ำ ขายต่อก็คงลําบาก

ระยะทางจากอู่ซ่อมรถ ถึงบ้าน ประมาณสิบนาที
เเต่โชคดี ติดไฟเเดงไปประมาณสามล้านสี่เเยก
ทําให้การเดินทางที่ควรจะเป็นเเค่ ประคับประคองรถที่ป่วยเกินเยียวยา กลับมาจอดประดับบ้าน
กลายเป็นการผจญภัยระทึกขวัญ
เป็นการนั่งเหงื่อตก อยู่บนระเบิดเวลา
จะเหยียบคันเร่งมากก็กลัวเครื่องรับไม่ไหว
จะปล่อยให้น้องสนุป คลานไปเรื่อยๆ ก็หวั่นเครื่องจะดับ

ร้านรวงสองข้างทาง ที่ยังคงส่องเเสงนีออนริบหรี่ประดับถนน
ก็มีเเต่ประเภท โรงรับจํานํา ร้านค้าเล็กๆ เเละ ผับ บาร์ มืดๆ

คนไร้บ้านนั่งจับกลุ่มคุยกันตามทางเท้าหน้าร้านขายของชํา ที่มีเหล็กดัดติดประดับประตู หน้าต่าง
ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ใต้หลอดไฟสีขาวซีด
ไม่มีบ้าน เเต่ไม่ขาดบุหรี่

ทุกครั้งที่ต้องหยุดรถตามไฟจราจร
ความกลัวว่าจะมีใครในหมู่คนพวกนั้น เดินข้ามถนนเข้ามาทัก เริ่มมีมากกว่าความกลัวเรื่องเครื่องยนต์
ฉันเป็นคนพูดไม่เก่ง เกรงว่าหากต้องปราศัยกันเเล้ว
ฉันจะเป็นฝ่ายอ้ำอึ้ง จนต้องเสนอเงินให้เป็นการเเลกเปลี่ยนความเป็นส่วนตัว

เดาเอาว่า เจ้าของร้านชํา ก็คงกลัวไม่น้อยไปกว่าฉัน
ไม่งั้นคงไม่งัดเหล็กดัดมาติดซะอย่างกับ งานสถาปัตยกรรมสมัยนูโว


ฉันสงสัยเหลือเกิน...
เเล้วพวกเหล่า ลุง ป้า ไร้บ้าน จะกลัวอะไรบ้าง
กลัวหิว กลัวหนาว กลัวงาน

นั่งจมความคิดไปกับรถที่เดินเครื่องสั่นเหมือนจ้าวเข้าไปซักพัก

ฉันคิดคําถามไว้ถามพวกเขาได้เเล้ว

"ลุงคะ
ลุงกลัวโดนปล้นมั้ยคะ?"

Monday, August 29, 2005

คํานํา

ตามนิสัยเดิมๆ
หลังจากสมัครบล็อคเเล้ว
ก็เกิดอาการปอดเเหกไม่ยอมเขียน

เป็นบ้าอะไรไม่รู้

พอคำเขียนกลายเป็นของสาธารณะ
ฉันก็มักจะเกร็งเขียนไม่ออก
ทั้งวัน นั่งนึกหาประโยคสวยๆมาเเปะ
พยายามสร้างภาพว่า เป็นมนุษย์จําพวกที่พัฒนาทักษะการเขียนเเล้ว

จะเขียนสักพัก เอาให้อยู่ตัว
ก่อนจะเสนอหน้าไปบอกชาวบ้าน

-ฉันมีบล็อคกับเขาเเล้วนะ!